วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำบุญเพื่ออะไร

"ปีนี้ทำบุญเยอะเนอะ ทำแล้วชีวิตดีขึ้นมั้ย?"

เป็นคำถามที่ฟังแล้วก็งงๆ เล็กน้อย เป็นเพราะโดยส่วนตัวไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เลยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี

พาลให้นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา "แล้วคนส่วนใหญ่ทำบุญเพื่ออะไร"

พูดตามตรง เราคงจะหาคำตอบที่ถูกที่สุดไม่ได้หรอก เพราะเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล บางคนทำบุญเพราะกลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ บางคนทำบุญเพื่อชีวิตจะดีขึ้น หรือบางคนทำบุญเพื่อเอาหน้า ฮ่า อย่าเถียงว่าไม่มี

อย่างที่บอกค่ะว่ามันเป็นเรื่องปัจเจก ที่ทำได้ก็แค่หันมาถามตัวเองจริงจังว่า "แล้วเราล่ะ ทำบุญเพื่ออะไร" ถ้าให้ตอบกวนหน่อยก็อาจบอกว่า "ดีกว่าทำบาปมั้ยล่ะ" ไม่อาว ไม่พูด คุยกันดีๆ ไม่กวนทีนกันดีกว่า อุอุ

โดยส่วนตัวเป็นคนเอาแต่ใจค่ะ อยากทำอะไรก็จะทำเลย (แต่จะทำเฉพาะสิ่งที่คิดว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนะ) ถ้าเรื่องไหนคิดว่าทำแล้วสบายใจก็จะทำเลย และส่วนหนึ่งได้ทำเพราะมีโอกาสมากกว่า อาจจะเป็นบุญชักนำ หรือทางพระว่า "ธรรมะจัดสรร"

อย่างวันก่อนบังเอิญไปเห็นว่า ที่ห้องสมุดวัด แว่นสายตายาวเหลือแค่ 3 อัน เลยถามผู้ดูแล บอกว่ามีพระจากศรีลังกามาขอไป เพราะประเทศเขายากจนกว่าเรา ได้ยินแค่นี้ ใจก็คิดไปว่า เออ แถวบ้านเรามีร้านขายส่งแว่นตานี่นา ไว้เราไปซื้อมาบริจาคดีกว่า คิดแค่นั้นค่ะ วันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อและแวะเอาไปให้เขา จบ

แล้วถามว่าหวังอะไรมั้ย ไม่เคยหวังนะคะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า เคยมีเพื่อนบอกว่า เวลาทำบุญให้ส่งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะให้ตัวเองหรือให้ใคร แล้วบุญนั้นจะไปถึง

แต่ถามว่าตัวเองเชื่อและคิดแบบนี้มั้ย ตอบได้เลยว่าไม่เคยคิดค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อในบาปบุญนะคะ เพียงแต่ว่าไม่เคยคิดถึงประเด็นนั้นมากกว่า ที่ทำก็เพราะอยากทำ ทำแล้วสบายใจ คิดแค่นี้จริงๆ ค่ะ

ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง ไหนลองมาแชร์กันหน่อยสิคะว่า "พวกคุณทำบุญกันเพื่ออะไร"

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แก้ความเกลียดชังด้วยความเข้าใจ

อยากให้ดูพื้นที่ชีวิต ตอนชีวิต ความหวัง ความตายในค่ายเอาชวิตซ์ ตอนที่ 2 เนื้อหาดีมากๆ เป็นตอนที่พูดถึงความเกลียดชัง ความกลัว การให้อภัย และความเข้าใจ

พิพิธภัณฑ์ ณ ค่ายเอาชวิตซ์ ในโปแลนด์ ไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อตอกย้ำความโหดร้าย หรือชวนให้เกลียดชังชาวเยอรมันนาซี แต่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอดีต และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ไม่ว่ากับชนชาติไหนบนโลกใบนี้

ยอมรับกันเถอะว่า มนุษย์ไม่ได้ต่างไปจากสัตว์ มีความโหดร้ายอยู่ในตัวเราทุกคน แต่มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ตรงที่สามารถคิดและตรึกตรองได้ มีจิตสำนึกมากกว่า

ทุกคนย่อมทำผิดได้ แต่เมื่อผิดไปแล้ว จะมัวแต่หาข้อแก้ตัวเพื่อกลบเกลื่อนความผิด หรือจะกล้าเผชิญหน้าและยอมรับความจริงอันเจ็บปวด และขอโทษจากใจที่สำนึกผิดอย่างแท้จริง

ประวัติศาสตร์ไม่ได้ต้องการชี้ว่าใครถูกใครผิด แต่ให้เห็นและไตร่ตรองว่า อะไรต่างหากที่ทำให้เรื่องราวบานปลายถึงขนาดนั้นได้ มันคือสิ่งที่มนุษยชาติควรศึกษา และทำความเข้าใจเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ชอบตอนที่เขาบอกว่า ลูกหลานนาซีรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแทนบรรพบุรุษ และลูกหลานยิวก็ไม่มีเหตุให้ต้องแค้นเคืองแทนเช่นกัน ที่สำคัญ ลูกหลานยิว "ไม่มีสิทธิ์ที่จะให้อภัย" เพราะคนที่มีสิทธิ์ คือเหยื่อผู้ถูกกระทำเท่านั้น

เราไม่ควรตอบโต้ความเกลียดชังด้วยความโกรธแค้น แต่ด้วยความเข้าใจ

ฟังดูเป็นเรื่องที่ยากที่จะสอนให้คิดและทำแบบนั้นได้ น่านับถือจริงๆ

คลิกดู ชีวิต ความตาย ในค่ายเอาชวิตช์ ตอนที่ 1 | ตอนที่ 2

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นไทยคือ...

เมื่อวานเพื่อนถามหาความคิดเห็นให้คุณสามีฝรั่งทำวิทยานิพนธ์ โจทย์มีอยู่ว่า "ความเป็นไทย" คืออะไร แล้วความเป็นไทยเป็นสิ่งแท้จริงมั้ย ถ้าจริง คืออะไรและเพราะเหตุผลใด

เห็นคำตอบหลายคนก็ชื่นชม กำลังจะปิดไฟนอนเลยต้องลุกขึ้นมาใหม่ เรียกว่าคันไม้คันมืออยากตอบว่างั้นเถอะ :)

โดยส่วนตัวแล้ว ความเป็นไทย คือ การที่เรามีภาษาเป็นของตัวเอง มีขนบประเพณี วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีค่านิยมประจำถิ่น คือ ไม่คิดมาก สบายๆ คือไทยแท้ คนไทยส่วนใหญ่จึงยิ้มง่ายและเป็นมิตร มีน้ำใจ แต่เพราะรักสบาย คนไทยจึงไม่ชอบการแข่งขัน โดยเฉพาะแข่งกันแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนชาติอื่น (เช่น เกาหลี สิงคโปร์ ญี่ปุ่น) นิยมช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากกว่า แบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

แต่ค่านิยมย่อมแปรผันไปตามกาลเวลา หลักพุทธศาสนาก็ว่าไว้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน คนไทยมักซึมซับวัฒนธรรมจากชาติอื่นได้เร็ว โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องบันเทิงเริงใจ เพราะมันสอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐาน ที่รักสนุก รักสบาย

ข้อดีคือ คนไทยมักไม่เครียด หรือเครียดก็ไม่นาน ไม่คิดมาก เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ข้อเสียคือ ไม่พัฒนาเท่าทันประเทศอื่น และด้วยความมีน้ำใจ เชื่อใจคนง่าย จึงมักถูกใช้ประโยชน์ และตกเป็นเหยื่อง่าย

แต่ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน ความเป็นไทยก็ยังคงความเป็นไทย รักสนุก สบายๆ ลืมง่าย ไม่จดจำ ไม่ชอบความวุ่นวาย เชื่อในกฎแห่งกรรม และบ้างก็งมงาย แต่ในยามคับขัน คนไทยไม่ทิ้งกัน น้ำใจไทยไม่เคยเหือดหาย

คิดว่าคำตอบนี้คงจะช่วยสามีเพื่อนได้ไม่มากก็น้อยนะ ^ ^

ปล. เขาบอกให้ตอบเป็นภาษาไทย คงจะเรียน "Thai Study" อยู่แน่เลย

นโยบายใหม่เขย่าขวัญชาว IG

เมื่อวานมีคนบอกว่า พวกภาษาอังกฤษอ่อนหัด พอเห็นนโยบายใหม่ของ IG ก็โวยวาย ดราม่ากันอีกแล้ว แหม ก็นโยบายใหม่เขาออกจะเขย่าโลกออนไลน์ซะขนาดนั้น ขนาดฝรั่งเจ้าของภาษายังโวยวายเป็นว่าเล่น แสดงให้เห็นว่าทักษะภาษาจะอ่อนหัดไม่อ่อนหัดไม่เกี่ยว เพราะเขากลัวเรื่องละเมิดสิทธิส่วนบุคคลมากกว่า

ดราม่าไม่ดราม่าคิดดู ขนาด IG ยังต้องออกแถลงการณ์อีกรอบ อธิบายเรื่องนโยบายที่เขย่าโลกไซเบอร์เมื่อวาน จะสรุปสั้นๆ ให้พอเป็นกระสัย ฉบับเต็มไปอ่านกันได้ที่ http://blog.instagram.com/

เรื่องแรก Ownership Rights Instagram users own their content and Instagram does not claim any ownership rights over your photos. สิทธิในภาพยังเป็นของเจ้าของตามเดิมไม่มีเปลี่ยน

ต่อมาคือเรื่อง Privacy Settings Nothing has changed. If you set your photos to private, Instagram only shares your photos with the people you’ve approved to follow you. เรื่องความเป็นส่วนตัวยังเหมือนเดิม ถ้าตั้งค่าว่า "private" เฉพาะคนที่ตามคุณเท่านั้นที่จะเห็นภาพเหล่านั้น แต่เราอย่าลืมกลับไปเช็คค่าที่ตั้งไว้กัน บางที default อาจจะเป็น public ก็ได้ ฮ่าๆ

Advertising เรื่องนี้ต้องบอกว่า เมื่อวานชาวเน็ตไม่ได้ดราม่านะจ๊ะ เพราะ IG ยังต้องออกมาขอโทษเลยว่า It is our mistake that this language is confusing. ไม่ใช่เพราะพวกเราสับสนเพราะภาษาอ่อน และเขากำลังจะหาคำทางกฎหมายที่ดีกว่านี้ เพื่อยืนยันว่า เขาไม่ได้คิดจะขายภาพของเรา แต่ยังไม่รู้จะออกมาแบบไหน เพราะเขาต้องหาเงินมาเลี้ยงตัว ถึงมีนโยบายจะขายโฆษณา ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นยังไงต่อไปก่อน เพราะ IG เองยังมึนตึบกับกรณีเมื่อวานอยู่

คงจะทำนองแก้นโยบายให้ tie-in โฆษณาใน IG ได้ หรือทำยังไงที่จะให้คนเข้าถึง brand ที่จะมาโฆษณาผ่าน IG ได้มากกว่านี้ โดยไม่ใช้ banner ad ให้เกะกะลูกกะตา ต้องรอดูเพราะเขาเองก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะเอาไงดีเหมือนกัน

แต่ีที่แน่ๆ เคสของ MAGNUM ก็ทำเงินถล่มทะลายแล้ว ที่ทำเป็นกินไอติม+ถ่ายภาพโชว์บน IG ได้เงินไปคนละแสนสองแสน ยอดขายไอติมทะลุทะลวงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เขาคงต้องมีการปรับนโยบายโดยที่ IG ก็น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับการโฆษณาแฝงแบบนี้ด้วย

ก็ต้องติดตามกันต่อไปล่ะค่ะ ว่าหลังจากที่เขาไปปรึกษาทนาย และร่างนโยบายใหม่ที่ภาษาไม่หวาดเสียวชวนสะดุ้งแล้ว ผลจะออกมาเป็นยังไง ใครที่โมโหลบ account ไปตั้งแต่เมื่อวานก็อย่าเสียใจไปเลย เริ่มสมัครใหม่ได้ :P

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

e-singles อีนี้ไม่โสด

สมัยนี้มีศัพท์ใหม่ๆ ออกมาทุกวี่ทุกวัน วันนี้เจอคำว่า "e-singles" ใจนึกถึง single ที่แปลว่าโสด พาลสงสัยว่า "อี-โสด" นี่มันเป็นยังไง เลยค้นดูสักหน่อย

ปรากฏว่าเดาผิด e-singles อีนี้ไม่โสด แต่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของนิวยอร์ก ไทมส์ ยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เป็นงานเขียนแบบ "พอคำ" ไม่ยืดยาวเหมือนงานเขียนทั่วไป ที่ผู้อ่านใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็อ่านจบแล้ว เรียกว่าไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าไปกับ "น้ำ" เน้นแต่ "เนื้อ"

ที่เรียก e-singles นี่มีที่มาจาก format ใหม่ของเจ้าพ่อวงการ digital books อย่าง Amazon ที่เพิ่งเข็น Kindle Singles เข้าสู่ตลาด หวังเอาใจนักอ่านที่ไม่มีเวลามาก และสนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่ที่อยากเสนอ "single idea" หรืองานเขียนแบบม้วนเดียวจบ ที่มีความยาวพอเหมาะ ระหว่าง 10,000 - 30,000 คำ เรียกว่าอยู่ระหว่างบทความในนิตยสารกับหนังสือก็ว่าได้

สนนราคาก็ไม่แพงมาก ประมาณ 2.99 ไม่ถึงร้อย น่าสนอยู่ แต่คงอีกนานกว่าจะขายเมืองไทย เพราะ product ส่วนใหญ่ยังขายเฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ใครเล่น Kindle จะรู้ดี

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Our Loss is Our Gain ขาดทุนคือกำไร

ในหลวงเคยทรงรับสั่งว่า Our Loss is Our Gain หรือขาดทุนคือกำไร ที่ทำเอาฝรั่งเอ๋อไปเลย เพราะมันขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์ของชาติตะวันตกมากๆ ขาดทุนจะเป็นกำไรได้ยังไง ไอม่ายข้าวจาย :P

หากจะยกตัวอย่างง่ายๆ ลองดูอย่างโครงการพระดำริ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งต้องลงทุนลงแรงมาก หากมองในแง่การลงทุน ถือว่าขาดทุน แต่หากมองจากผลสำเร็จ ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้นค่า กำไรในที่นี้คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ฉะนั้น สำหรับพระองค์แล้ว ขาดทุนจึงคือกำไร

หรือจะพูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่า การจะลงทุนทำอะไรก็ตาม อย่าคิดแต่ตัวเงิน อย่ามัวแต่กดเครื่องคิดเลข คิดว่าลงทุนเท่าไหร่ต้องได้กำไรตอบแทนเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม ให้คำนึงถึงผลที่จะได้เป็นหลัก บางทีมัน "คุ้มค่า" กว่ากันเยอะ โดยเฉพาะในระยะยาว

หากเราทำตามพ่อสอน ยอมขาดทุนเพื่อให้ได้กำไร ประเทศไทยจะไม่ขาดแคลน "ผู้ให้" ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และนั่นคือน้ำใจ คือความเป็นไทยและความเป็นชาติ

นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า คนไทยโชคดีแค่ไหนที่มีในหลวง

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เปลี่ยนอัฐิเป็นลูกปัด

อยากเก็บคนที่คุณรักไว้กับตัวตลอดไปมั้ย?
เกาหลีใต้มีคำตอบ

หลังจากคนที่คุณรักเสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ฯลฯ เกาหลีใต้มีบริการเสริม "Ashes to Beads" เปลี่ยนอัฐิเป็นลูกปัดคริสตัลใส มีให้เลือกหลายสี เช่น ฟ้าอมเขียว ชมพู ม่วง ดำ

กรรมวิธีนี้ใช้เวลาแค่ 90 นาที อัฐิของผู้ตายจะถูกนำมาเผาหลอมละลายด้วยความร้อนสูง นานพอจนเถ้ากลายเป็นผลึกแก้วใสราวลูกปัด ให้คุณพกพาคนที่คุณรักติดตัวไปได้ทุกที่โดยง่าย

เขายังรับรองด้วยว่า ลูกปัดอัฐินี้ สะอาดใสกิ๊ก ไร้กลิ่น ไม่ขึ้นราแน่นอน

แล้วนี่จะสะเทือนความเชื่อเรื่องอัฐิของผู้มีบุญบารมีมากในบ้านเรามั้ย ที่เชื่อกันว่า ผู้บำเพ็ญเพียรมาก เถ้าจะกลายเป็นผลึกแก้วใสน่ะ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Happiness 幸福

幸福分很多种....

有些幸福是找来的....
有些幸福是追来的....
有些幸福是借来的....
有些幸福是一天一天累积出来的....

你的幸福呢?

There're many kinds of happiness...
Happiness to be found...
Happiness to be chased...
Borrowed happiness...
or accumulated, day by day...

How about yours?

ความสุขมีหลายประเภท...
บ้างต้องค้นหา...
บ้างต้องไล่ตาม...
บ้างต้องอาศัยผู้อื่น...
บ้างเกิดจากการสะสมสุขในแต่ละวัน

แล้วความสุขของคุณล่ะ...เป็นแบบไหน?

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Gender-Shopping in HK

อ่านเจอข่าวน่าเศร้า "Mothers-to-be go gender-shopping in Hong Kong" หรือ "Moms-to-be in rush to HK for fetus sex tests before it's too late" อะไรกันเนี่ย!

ในประเทศจีน กฎหมายสั่งห้ามหมอไม่ให้ตอบคำถามยอดฮิตของคุณพ่อคุณแม่ว่า "Is it a boy or a girl?" บรรดาคุณแม่เลยต้องเช็คเพศลูกให้แน่ใจ แน่นอนอยู่แล้วว่า คนจีนย่อมต้องการทายาทสืบสกุล ในเมื่อรัฐบาลจีนอนุญาตให้มีลูกได้เพียงคนเดียว ครอบครัวย่อมปรารถนาจะได้ลูกชายไว้สืบสกุล พ่อแม่ย่อมปรารถนาจะเลือกเพศลูกล่วงหน้า

แต่ในเมื่อกฎหมายห้ามหมอจีนแผ่นดินใหญ่ตอบคำถามนี้ คำยอดฮิตที่ค้นหากันใน Google จึงเป็น "fetus sex identification" และคำตอบส่วนใหญ่ล้วนชี้มาที่ศูนย์บริการทางแพทย์ในเสิ่นเจิ้น ที่มีพรมแดนติดฮ่องกงทั้งสิ้น

ในเขตปกครองพิเศษเสิ่นเจิ้น จะมีบริการ "go gender-shopping" พาคุณแม่ไปตรวจเพศลูกที่ฮ่องกง แค่ห้าพันกว่าหยวน หรือประมาณสองหมื่นกว่าบาท (แต่ถ้าทารกในครรภ์อายุเกิน 8 สัปดาห์ จะต้องเสียค่าบริการเพิ่มอีกพันหยวน) ไม่กี่วันคุณก็จะรู้แล้วว่า ทารกในครรภ์เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ที่รับรองผลมากถึง 98% บางคลินิกรับประกัน 99.4% เลยด้วย

พ่อแม่จีนยอมจ่าย...จะได้ทันการ

จะได้ทันการ!

ใช่...จะได้ "terminate" หรือกำจัดเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้ทันก่อนจะลืมตาออกมาดูโลก!
...บนแผ่นดินที่ต้องการแต่ลูกผู้ชาย!

ก่อนหน้านี้ บรรดาแม่ๆ ยังบินไปตรวจเพศและคลอดลูก (หรือทำแท้งหากไม่ใช่เพศที่ปรารถนา) ที่ฮ่องกงได้ แต่ในอนาคตอันใกล้ จีนจะออกกฎหมายห้ามแม่ตั้งครรภ์เดินทางไปคลอดลูกที่ฮ่องกงแล้ว ฉะนั้น ยิ่งรู้ไว รู้แต่เนิ่นๆ ยิ่งทันการ!

ทุกปีจะมีทารกหญิงตายเพราะทำแท้งมากถึงล้านคน ไม่นับที่แจ้งว่าสูญหายอีกเป็นหมื่นเป็นแสน!

การทำแท้ง "ที่แม้จะเสียใจแต่ก็ต้องทำ" เพราะแรงกดดันจากนโยบายลูกคนเดียว และความเชื่อเรื่องมีทายาทชายไว้สืบสกุล จึงเป็นเหตุให้ประชากรชาย-หญิงในจีนไม่สมดุลอย่างน่าตกใจ และไม่สมดุลมากที่สุดในโลกด้วยอัตราส่วน ชาย 120 ต่อหญิง 100 คน (นี่ยังไม่น้บพวกชายเบี่ยงเบนนะ เร็วๆ นี้เพิ่งมีข่าว ชาย-ชายแต่งงานกันในจีนเป็นคู่แรก และเชื่อว่าจะมีตามมาอีกแน่นอน)

มันเป็นยังไงกันนะ...
มันเป็นยังไง...

อ่านข่าวแล้วมีแต่คำถามวนเวียนในหัว มีลูกสาวมันไม่ดีตรงไหน? สมัยนี้ผู้หญิงเก่งมากมาย สืบทอดกิจการก็ได้ แต่งผู้ชายเข้าบ้านก็ได้ มีเหตุผลมากมายสารพัดที่จะหยิบยกมาอ้างว่า ทำไมถึงไม่ควรทำแท้ง

กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนด มันแก้ไขได้ ถ้าอนุโลมให้ครอบครัวไหนที่มีลูกคนแรกเป็นลูกสาว สามารถมีลูกได้อีกคน แต่งานนี้จะเป็นหญิงหรือชายก็ต้องยอมรับแล้วนะ สองคนปิดอู่!

หรือถ้ากลัวปริมาณประชากรจะล้นโลก ก็เน้นนโยบายคุมกำเนิดสิ เรื่องอื่นยังห้ามกันได้เลย แถมสมัยนี้คนยิ่งมีลูกยากอยู่ อินเดียยังมีรับจ้างอุ้มบุญเลย ขึ้นทะเบียนเด็กไว้ให้ผู้ที่อยากมีลูกแต่ไม่มีมาขอรับเลี้ยงก็ได้ หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีกว่านี้ และมีศีลธรรมกว่านี้

กว่าจะได้โอกาสมาเกิดในท้องคนก็ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่รู้ต้องสะสมความดีเท่าไหร่ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วทำไมถึงจะทำร้ายทำลายกันง่ายจัง - -"

.

ที่มา:
http://www.globaltimes.cn/content/729467.shtml
http://www.scmp.com/news/china/article/1051897/mums-be-rush-fetus-sex-tests

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

FUR, beautifully freaking sad

เมื่อนิโคล คิดแมนกับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ สองดาราคุณภาพแห่งฮอลีวูด เลือกที่จะแสดงภาพยนตร์เรื่อง "FUR" แสดงว่าบทจะต้องมีดีสิน่ะ

ชื่อเต็มๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus ฉันไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อดิแอน อาร์บัส มาก่อน มารู้จากในหนังว่า เธอคือผู้พลิกประวัติศาสตร์วงการถ่ายภาพอเมริกา ที่วงการศิลปะยกให้เธอเป็นศิลปินที่ลึกลับและโดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่ 20

เรื่องนี้เกริ่นตั้งแต่ต้นว่า เนื้อหาในเรื่อง beyond reality ที่ทางทีมผู้สร้าง "เชื่อ" ว่า ดิแอน อาร์บัสน่าจะเคยมีประสบการณ์ หรือพบเจอบุคคลเหล่านี้ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอสร้างสรรค์ผลงานน่าทึ่งที่สุดในยุคนั้น (จุดเด่นในงานเขียนของเธอคือ ภาพมนุษย์ประหลาด)

ดิแอน (นิโคล คิดแมน) บุตรสาวเศรษฐีชาวยิว ภรรยาช่างภาพ เธอช่วยอลัน (ไท เบอร์เรล) สามีเตรียมการถ่ายภาพ จะเรียกว่าเป็นสไตลิสต์ให้งานของสามีก็ว่าได้ ชีวิตเธอเปลี่ยนไปเมื่อมีเพื่อนบ้านย้ายเข้ามาใหม่ ลิโอเนล (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) ผู้ผิดแปลกไปจากผู้คนทั่วไปเพราะโรคทางกรรมพันธุ์ Hypertrichosis หรือเรียกกันมากกว่าว่า Werewolf syndrome

ลิโอเนลเป็นโรคประหลาด ขนจะขึ้นดกเต็มตัวเหมือนมนุษย์หมาป่า ในยุคที่ละครสัตว์เฟื่องฟู คนที่ป่วยเป็นโรคพิสดารนี้ (รวมถึงคนที่ผิดแปลกไปจากมนุษย์อื่นๆ เช่น สูงเป็นเปรต หรือเตี้ยเป็นคนแคระ แฝดสยาม ฯลฯ) จะเป็นดาราเด่น เป็นตัวชูโรงของคณะ ในโลกของลิโอเนล จึงมีมิตรสหายที่ล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดทั้งสิ้น

เมื่อดิแอนได้พบกับลิโอเนล โลกของเธอก็เปลี่ยนไป จากโลกคุณหนู แม่บ้านผู้แสนดี เธอได้พบเจอกับผู้คนแปลกประหลาดมากมาย และยังได้พบกับความโรแมนติคอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับชายผู้เป็นสามีมาก่อน

เรื่องนี้ไม่ได้จะเน้นความสัมพันธ์เชิงชู้สาว (แม้บางสื่อจะชวนให้เชื่อว่า มีฉากรักโจ๋งครึ่มแบบโป๊หมดเปลือกก็เถอะ) จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ ความเมตตาที่มนุษย์พึงมีต่อกัน ไม่ว่าเขาจะผิดแปลก หรือไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป หนังไม่ได้หวือหวา แต่ค่อยๆ ละเลียดให้เราได้ซึมซับความเศร้าที่งดงาม เป็นความเศร้าแบบพิลึก ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า "beautifully freaking sad" และต้องลุกขึ้นมาขีดเขียนวันนี้

โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นดาราที่แสดงออกด้วยดวงตาได้อย่างงดงามที่สุด หนังสามดาว (อย่างที่นักวิจารณ์ว่า) แต่กลับเป็นหนังที่ฉันว่าดีกว่าหนังห้าดาวบางเรื่องเสียอีก

คลิกดูผลงานของดิแอนได้ที่ The Photography of Diane Arbus

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หนึ่งวันกับมูราคามิ

หนึ่งวันกับมูราคามิ และรักเร้นในโลกคู่ขนาน ที่อบอวลไปด้วยความเหงากลมกล่อม ฉบับพิมพ์ใหม่โดย สนพ กำมะหยี่

เรื่องราวของสุมิเระ สาวน้อยผู้หลงรักมิวที่มีอายุมากกว่าถึง 17 ปี แถมเป็นสตรีเพศ! กับ "ผม" เพื่อนคู่คิดของสุมิเระที่คิดมากกว่าเป็นแค่เพื่อน และกระหายอยากที่จะได้สืบสัมพันธ์กับเธอ ชะตาชีวิตของสามคนกับสามความเหงา ในโลกแห่งความจริงและโลกคู่ขนาน ดำเนินได้อย่างน่าติดตาม กลมกล่อม ละเมียดละไม

เป็นเล่มแรกที่ทำความรู้จักกับมูราคามิอย่างเป็นทางการ และบอกได้เลยว่า ไม่ผิดหวังจริงๆ ในบางถ้อยคำที่คุณนพดล เวชสวัสดิ์แปลออกมา มันได้ความรู้สึกจนอยากรู้ว่า ต้นฉบับเขียนว่ายังไง

มูราคามิ สมแล้วที่เป็นราชาแห่งถ้อยคำ ตัวหนังสือของเขาแฝงไปด้วยความเหงาเดียวดาย แต่ไม่เศร้าอะ น่าแปลกมั้ยล่ะ! หรือคนอื่นอ่านแล้วเศร้าก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆ

นอกจากถ้อยคำพรรณาที่น่าทึ่ง หนังสือเล่มนี้ยังสอดแทรกข้อคิดดีๆ มากมาย ชอบอยู่หลายบท อยากบันทึกเก็บไว้เตือนความจำ เพราะถ้าให้พลิกหาอีกที คงใช้เวลากว่าจะเจอ

สรรพสิ่งที่เราคิดว่ารู้จักถ่องแท้แล้ว จะแฝงซ่อนอยู่ด้วย 'ตัวแปรไม่รู้ค่า' ในปริมาณมากเท่าเทียมกัน ความเข้าใจมิใช่ใดอื่น นอกจากผลรวมของความเข้าใจผิด ... ในโลกที่เราอาศัยอยู่ 'สิ่งที่เรารู้' และ 'สิ่งที่เราไม่รู้' ไม่ต่างไปจากแฝดสยาม แยกกันไม่ออก ดำรงอยู่ร่วมกันในภาวะขัดแย้งสับสน

มนุษย์ใช้ชีวิตตามเส้นทางของตน จนกว่าวงโคจรจะทาบทับวงโคจรของใครอื่น แต่สุดท้ายต่างคนก็ต้องไปตามวงโคจรของตน เพียงแต่ชั่วระยะเวลาที่วงโคจรทาบทับกันนั้น เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำหรือไม่ ตักตวงความสุขจากห้วงเวลานั้นได้กี่มากน้อย และยอมรับเมื่อถึงเวลาต้องจากกันหรือเปล่า

แถมอีกบท ไม่ว่าความสูญเสียจะสาหัส หรือเจ็บปวดสักเท่าใด ไม่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดจะพรากไปจากชีวิตของเรา บางคราวก็ถูกยุดยื้อกระชากไปจากมือ เราอาจเปลี่ยนเป็นอีกคนที่ยังสวมหน้ากากเค้าเดิม ชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป...ในความเงียบงัน

ชอบที่คุณวิกรานต์เปรียบเปรยในบทส่งท้าย...
หนังสือเล่มนี้รวยรินกลิ่นความเหงารุนแรงราวกับ Chanel No.5

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Expiry date, way beyond numbers!

น่าทึ่งมากกับ Creative Food Expiration Technology นักออกแบบชื่อ Ko Yang (เดาว่าเป็นชาวอาทิตย์อุทัย) ได้ออกแบบกล่องนมพิเศษ ที่สีของกล่องจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อใกล้วันหมดอายุ ช่วยให้สังเกตได้ง่ายเวลาอยู่ในตู้เย็น ไม่ต้องเปิดดมกลิ่นเน่าบูด

นอกจากไอเดียจะเจ๋งแล้ว ยังขี้เล่นและซ่อนความน่ารักไว้ด้วย กล่องสีขาวของนมจะค่อยๆ เปลี่ยนจนสีออกส้มๆ แถมมีรูพรุนเหมือนชีสด้วย From Milk to Cheese แต่ชีสจริงๆ กินได้นะ ไม่ได้ทำจากนมบูดเน่าเสีย เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน

ไอเดียนี้ไม่ได้เพิ่งมีเร็วๆ นี้นะคะ แต่เป็นโครงการ "Expiry date, The Things Far Away Beyond Numbers by Ko Yang" ที่มีมาตั้งแต่ปี 2008 นู่นน่ะค่ะ

นอกจากกล่องนมยังมีป้ายราคาที่แปะตามสินค้าสดด้วย อย่างเนื้อที่แพ็คขายในซุปเปอร์ จะเห็นว่าป้ายราคาจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เข้มจนไม่สามารถอ่านบาร์โค้ดได้

Fresh Label หรือฉลากเปลี่ยนสีได้นี้ได้รับรางวัลตั้งแต่ปี 2009 คิดค้นขึ้นโดยบริษัท To-Genkyo, Japan ที่คว้ารางวัลการออกแบบผลิตภัณฑ์มามากมาย Mission ของบริษัทน่าสนใจทีเดียว We make a small utopia of daily life. TO-GENKYO gropes for the idea that improves living.

เขาอธิบายหลักการง่ายๆ ว่า เนื้อสด เมื่อเริ่มเก่าจะปล่อยก๊าซแอมโมเนียออกมาเรื่อยๆ และพอทำปฏิกิริยากับกระดาษพิเศษที่ใช้หมึกธรรมชาติปลอดสารพิษ ที่สกัดจากเม็ดสีของกะหล่ำปลีม่วง (ซึ่งไวต่อปฏิกิริยาของก๊าซแอมโมเนียเป็นพิเศษ) ฉลากจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนบังตัวบาร์โค้ด และนำไปสแกนขายไม่ได้ แถมยังออกแบบได้กิ๊บเก๋ ใช้รูปนาฬิกาทราย ที่เป็นตัวแทนบอกเวลาที่ใกล้จะหมดไปเรื่อยๆ ด้วย สมควรยกนิ้วให้จริงๆ

เมื่อไหร่บ้านเราจะมีใครคิดทำอะไรสร้างสรรค์แบบนี้ เพื่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ บ้างน้อ...

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กล่องที่ยังไม่แกะ

ในชีวิตหนึ่ง คงไม่มีใครได้แกะกล่องทุกใบที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีกล่องหลายใบที่เราไม่รู้หรอกว่าแกะแล้วจะเป็นไง ของในกล่องจะสวยงาม น่าเกลียดน่ากลัว หรือในนั้นจะมีแต่ความว่างเปล่า

หากกล่องใบนั้นยังอยู่ในมือคุณ อยากจะบอกให้คุณรีบแกะทันทีที่ยังมีโอกาส เพราะกล่องแต่ละใบไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แกะออกมาแล้วว่างเปล่า ยังดีกว่าไม่ได้แกะมันอีกเลย

แต่รู้อะไรไหม อย่าโทษตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการให้กล่องที่ยังไม่ได้แกะในจังหวะนั้น มาส่งผลกระทบต่อชีวิตทั้งชีวิต เพราะคุณไม่ได้ทำกล่องหลุดมือ คุณไม่ได้ทิ้งขว้างกล่องใบนั้น เปล่าเลย...มันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เหนือการควบคุม

ระหว่างที่คุณดำเนินชีวิตอยู่ตอนนี้ คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น กล่องใบนั้นจะหายสาบสูญไปจากชีวิตคุณตลอดกาลหรือเปล่า มีแต่คนเขียนบทชีวิตคุณเท่านั้นที่รู้

และเขาคงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้น เป็นเหตุผลที่คุณไม่มีวันรู้ และอาจไม่จำเป็นต้องรู้ มันไม่เกี่ยวกับความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมเลย มันแค่เป็นไปอย่างที่ต้องเป็น

ในโลกนี้มีอยู่สองสิ่งใหญ่ สิ่งที่เราเลือกได้ กับสิ่งที่เราเลือกไม่ได้
และนั่นคือความจริงของชีวิต

สิ่งที่เราเลือกไม่ได้มีมากมาย คุณลือกเกิดไม่ได้ เลือกพ่อเลือกแม่ไม่ได้ เลือกไม่ได้ว่าจะให้พรุ่งนี้แดดออกหรือฝนตก ให้อบอุ่นหรือหนาวสั่น และแน่นอน คุณเลือกวันตายไม่ได้ แต่อาจจะได้ก็ได้ ถ้าคุณอาจหาญพอที่จะใช้สิทธิ์นั้น

ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ ฉะนั้น ในจังหวะที่คุณมีโอกาสเลือก บนทางแยกที่คุณเลือกได้-ตัดสินใจได้ คุณควรจะเลือกด้วยหัวใจที่แท้จริง เลือกสิ่งที่อยากเลือกจริงๆ เพราะนั่นคือหนึ่งในน้อยสิ่งนักที่คุณจะได้เลือก

ชีวิตเต็มไปด้วยกล่องที่ยังไม่แกะ แทนที่จะนั่งคร่ำครวญกับกล่องที่จากไปแล้ว จะไม่ลองแกะกล่องใบอื่นดูหน่อยหรือไร

.

* คัดลอกและเรียบเรียงใหม่จาก "ผม, ตูราคามิ" โดยนิ้วกลม

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ใครในห้อง

พัีกหลังมานี้ไม่ค่อยดูหนังสยองขวัญ แต่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้พูดถึงโรคประหลาดในญี่ปุ่น "ฮิคิโคโมริ" (Hikikomori Syndrome) เด็กที่เป็นจะมีอาการแยกตัวออกจากสังคม ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนเป็นปีๆ เลยอยากรู้ว่าเป็นไง เลยไปสอยหนังไทยเรื่องนี้มาดูสักหน่อย แถมได้ดารามากฝีมืออย่างพี่นก สินจัยมาแสดงนำ ก็น่าจะการันตีคุณภาพได้ระดับหนึ่ง

โดยพลอตเรื่องก็น่าสนใจดี เด็กหนุ่มติดเกมคนหนึ่งขลุกอยู่แต่ในห้องนาน 5 ปี หลายคนคงอยากรู้ว่าทำไม สิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นจึงเป็นตัวเดินเรื่องโดยปริยาย โดยรวมๆ ก็มีฉากตื่นเต้นก็ชวนให้สะดุ้งเป็นระยะๆ แต่ที่แปลกคงจะเป็นเรื่องพลังจิตใต้สำนึกในหนังเรื่องนี้

ในเรื่องนี้พูดถึงการฝึกควบคุมพลังจิต มีการยกตัวอย่างให้เห็นว่า สิ่งที่เราเชื่ออย่างแรงกล้าจะเป็นจริงได้ เขาให้ผู้ทดลองถือดินสอในมือ และสั่งให้ตัวเองเชื่อว่ามันคือหยวกกล้วย อีกมือให้ถือกระดาษ และเชื่อว่ามันคือมีด พอฟันฉับลงไป กระดาษจะตัดดินสอขาดได้

ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการฝึกแบบนี้เยอะทั้งในและต่างประเทศ บ้างก็เอากระดาษมาตัดตะเกียบ บ้างก็ให้คนสองคนใช้นิ้วสอดใต้ขาคนที่มีน้ำหนักเป็นร้อยโล และยกเขาขึ้นมาได้สบายราวปุยนุ่น นั่นเป็นการฝึกพลังจิตและสร้างความเชื่อมั่นว่า หากเราเชื่อสิ่งใด เราจะทำสิ่งนั้นได้

ที่ออกจะประหลาดกว่านั้นคือ เรื่องชายแปลงเพศเป็นหญิง แล้วจู่ๆ เกิดอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เธอเชื่อว่าตัวเองคือผู้หญิงเต็มร้อย แถมมีประจำเดือน แต่งงานและมีลูกได้เหมือนผู้หญิงปกติ ทว่าพอความเชื่อนั้นถูกทำลายลง เธอกลับรับไม่ได้และฆ่าตัวตาย ลูกของเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่นภายในไม่กี่ชั่วโมง

อันนี้ออกจะเวอร์ไปนิด และไม่พบข้อมูลว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโลกจริงๆ ถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ ในหนังนำเอาจุดนี้มาพลิกตอนจบ เลยทำให้รู้สึกว่ามันเกินจริงไปหน่อย แต่โดยรวมๆ ก็ถือว่าหลอนเอาเรื่องเลยล่ะ

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Fresh Start ด้วยการ "ล้มละลาย"

หลายคนคงตะลึงกับข่าวนักเขียนเศรษฐี Robert Kiyosaki เจ้าของผลงานชื่อดัง "Rich Dad, Poor Dad" หรือบ้านเรารู้จักกันดีในชื่อ "พ่อรวยสอนลูก" ยื่นขอล้มละลาย (แต่บางคนกลับเขียนว่าเขาถูกฟ้องล้มละลาย) และต่างพากันงงว่าโลกเป็นอะไรไปแล้ว รวยล้นฟ้าขนาดนั้นร่วงได้ไง

ที่จริงถ้าได้อ่านเนื้อข่าวก็จะไม่ตกอกตกใจเลย เพราะไม่ใช่ตัวเฮียแกสักหน่อยที่ล้ม แต่เป็น Rich Global LLC หนึ่งในบริษัทของแกต่างหาก และถึงบริษัทฯ นี้จะล้มละลาย ตัวแกก็ไม่สะเทือนเลย

เวลาเป็นหนี้มากๆ (และไม่อยากจ่าย) นักธุรกิจมะกันมักใช้กลยุทธ์ "ยื่นล้มละลาย" เพื่อเคลียร์หนี้กันทั้งนั้น นักธุรกิจคนดังที่เชี่ยวชาญกลยุทธ์นี้ เห็นทีจะไม่มีใครเกินอภิมหาเศรษฐี เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ Donald Trump เฮียคิโยซากิเองก็เคยสนิทกับเฮียทรัมป์ ทั้งออกหนังสือด้วยกัน ทำธุรกิจด้วยกัน ก็คงจะได้เรียนรู้เทคนิคนี้จากเฮียทรัมป์มาบ้าง

เฮียทรัมป์ใช้กลยุทธ์นี้โละหนี้เก่าจำนวนมหาศาลมาแล้วถึง 4 ครั้ง แล้วดูสิ ทุกวันนี้ เฮียแกก็ยังฟื้นกลับมาเป็นอภิมหาเศรษฐีได้ทุกครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะกฎหมายมะกันเปิดช่องให้คุณ "ล้มบนฟูก" ได้น่ะสิ

กฎหมายล้มละลายของอเมริกามีเป้าหมายหลักเพื่อให้ลูกหนี้ตั้งต้นใหม่ได้ ด้วยการปลดพันธะหนี้ที่จ่ายไม่ไหวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แถมป้องกันไม่ให้ถูกเจ้าหนี้คุกคามโดยมิชอบ เงินและทรัพย์สินที่มีก็เอามาจัดสรรให้เหมาะสม แบ่งให้เจ้าหนี้ทุกรายเท่าๆ กันอย่างรวดเร็ว เจ้าหนี้-ลูกหนี้ก็ไม่ต้องเกลียดขี้หน้ากัน วันดีคืนดีก็หันมาทำเซ็งลี้กันต่อได้

ในอเมริกา กฎหมายล้มละลายแบ่งออกเป็น 3 มาตราด้วยกันคือ Chapter 7, 11, 13 ที่เฮียโรเบิร์ตแกใช้คือ มาตรา 7 ซึ่งเป็นกระบวนการง่ายที่สุด แค่ขายทรัพย์สินนำมาแบ่งเฉลี่ยให้เจ้าหนี้อย่างเท่าเทียม ถ้าเป็นบุคคลก็ให้ขายทุกอย่าง ยกเว้นบ้าน แถมเจ้าของบ้านยังมีสิทธิหักเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าดำรงชีพได้อีกต่างหาก และถ้าขายทรัพย์สินแล้วได้เงินมากกว่ายอดหนี้ที่เป็นอยู่ เงินที่เหลือก็ต้องคืนให้ลูกหนี้ซะ

Chapter 11 ขอฟื้นฟูกิจการ เป็นมาตราที่บริษัทยักษ์ใหญ่ใช้กันเยอะ เพราะมาตรานี้บอกให้เจ้าหนี้ "หยุด" ทุกอย่าง หยุดทวงหนี้ หยุดคิดดอก ห้ามยึดทรัพย์ ห้ามบังคับขายทรัพย์สิน ลูกหนี้ก็ต้องหยุดด้วย เพื่อกระบวนการฟื้นฟูกิจการ หรือขายทรัพย์สินนำมาแบ่งเฉลี่ยจ่ายเจ้าหนี้แต่ละรายจะได้เริ่มต้นขึ้น

Chapter 13 เป็นมาตราสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีหนี้เกินตัว แต่ไม่เกิน 1 แสน หรือ 3 แสน 5 หมื่นเหรียญกรณีที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน ซึ่งมาตรานี้ ลูกหนี้จะมีเวลาผ่อนชำระหนี้ 3-5 ปีโดยคำนวณจากรายได้ในปัจจุบัน หลังจากนั้น หนี้ที่เหลือก็ถือเป็นอันหายกัน ง่ายดีเนอะ มาใช้บ้านเรามีหวัง...

ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะจะได้เปิดโอกาสให้คนที่มีหนี้ได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ สอดคล้องกับหลักศาสนาคริสต์ ทุกคนจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระทางการเงิน

กลับมาที่กรณีของเฮียโรเบิร์ต บริษัทที่เขายื่นล้มละลายมีทรัพย์สินเหลืออยู่แค่ไม่กี่ล้าน ในขณะที่เจ้าหนี้จ่อฟ้องยี่สิบกว่าล้าน นายไมค์ CEO บริษัทหนึ่งของเฮียโรเบิร์ตก็บอกง่ายๆ ว่า เฮียเขาไม่เพิ่มทุนแล้ว ไม่รู้จะเอาปัญญาหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย เออ...ถ้าบ้านเราอาจมีการยิงกันเกิดขึ้นได้

สรุปแล้ว เฮียโรเบิร์ตก็เลยขอใช้มาตรา 7 ยื่นให้บริษัทฯ ล้มละลาย เจ้าหนี้ก็ได้เงินเท่าที่มีอยู่ บริษัทเป็นอันปิดกิจการ คดีก็จบ กฎหมายก็ไม่ได้บังคับให้เฮียโรเบิร์ตต้องควักกระเป๋าส่วนตัวมาจ่ายด้วย

เฮียทรัมป์ เจ้าพ่อ bankruptcy เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ ABC News ว่า "ผมใช้กฎหมายของประเทศนี้เพื่อปลดหนี้" และคำว่า "ล้มละลาย" ของเขาก็ไม่ได้ฟังดูน่ากลัว ดูจนตรอกอย่างบ้านเรา ถ้าจะใช้คำสวยหรูขึ้นมาหน่อยก็คือ "ปรับโครงสร้างหนี้" และใช้กันทุกวงการ ไม่ใช่แค่ในโลกธุรกิจเท่านั้น

นี่แหละนะ เศรษฐีมะกันถึงล้มบนฟูกกันเป็นแถว

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อายให้ถูกเรื่อง

ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มท้อง 5 เดือน ท้องเริ่มใหญ่จนใครเห็นก็รู้ว่าเธอกำลังตั้งท้อง ทุกวัน เธอยังต้องพึ่งรถไฟฟ้าไปทำงาน และแทบไม่มีใครลุกให้นั่งเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีสุภาพสตรีร่างท้วมนิดๆ ลุกให้เธอนั่ง ในชั่วขณะนั้นเอง คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเธอ "ผู้หญิงคนนี้แค่ท้วม หรือกำลังมีน้องเหมือนเธอ"

เธอจึงเอ่ยปากถาม และคำตอบก็ตรงตามคาด ผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว แต่เธอบอกว่ายินดีลุกให้นั่ง เพราะเข้าใจหัวอกคนท้องดี ตัวเธอเองเพิ่งท้องอ่อนๆ ยังพอจะยืนได้ แต่ท้อง 5 เดือนแบบนี้น่าจะได้นั่งมากกว่า ไม่สมควรยืนโหนราวให้กระเทือนน้องในท้อง

อืม...รู้สึกอึ้งนิดๆ คนสมัยนี้ใจร้ายขึ้น หลายคนบอกว่า คนทำดีน้อยลงเพราะกลัว "คนอื่น" จะมองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ กลัว "คนอื่น" จะมองว่าตัวเองดี กลัว "คนอื่น" จะมองว่าสร้างภาพ

ถือเป็นเรื่องแปลกมากที่คนเราจะ "อาย" เมื่อทำความดี
หรือรู้สึกเป็น "ตัวประหลาด" ท่ามกลางผู้คนหมู่มากที่นิ่งเฉย

การที่คิดแบบนั้นก็เท่ากับทำลาย "ตัวสร้างสุข" ชัดๆ เพราะการทำดีเพียงเล็กๆ น้อยๆ อย่างลุกให้เด็ก คนชรา หรือผู้หญิงท้องนั่ง มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง รอยยิ้มหรือคำขอบคุณที่พวกเขามอบให้อาจตีค่าเป็นราคาไม่ได้ แต่มันอาจทำให้คุณอิ่มเอมใจไปทั้งวัน

หลายคนมักพูดเสมอว่า อยากให้โลกน่าอยู่ขึ้น อยากเห็นสังคมที่ดีขึ้น เราจะไปเรียกร้องให้ใครทำเรื่องใหญ่เรื่องดีที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ไง ในเมื่อเรายังไม่กล้าที่จะทำเรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ

อย่าอายที่จะทำความดี แต่จงอายที่จะทำเรื่องชั่วช้า
โลกอาจไม่ได้น่าอยู่ขึ้นทันที แต่ใจคุณจะปิติขึ้นทันตาเห็น

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Say "No" to Chinese

เป็นการตลาดแบบฆ่าตัวตายชัดๆ เมื่อดีไซเนอร์ดังชาวฝรั่งเศส เธีรยร์รี่ กิลิเย่ (Thierry Gilier) เจ้าของแบรนด์ Zadig & Voltaire ออกมาประกาศว่า โรงแรมใหม่สุดหรูของเขาที่เตรียมจะเปิดให้บริการที่กรุงปารีสในปี 2014 จะไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน

ที่เฮียแกออกมาพูดแบบนั้นคงจะเป็นเพราะชื่อเสีย (ง) ของนักท่องเที่ยวจากแดนมังกร ที่ออกจะมีพฤติกรรมสุดระห่ำ ออกแนวกักขฬะในสายตาของพวกผู้ดีตีนแดง คงเกรงว่าจะทำให้เหล่าคุณหญิงคุณนายฝาหรั่งต๊กกะใจจนไม่กล้ามาใช้บริการ

แต่ประกาศไปได้ไม่กี่วัน ก็ต้องรีบแจ้นออกมาขอโทษขอโพยยกใหญ่ ต้องกลืนน้ำลายตัวเองดังเอื๊อกๆ ที่ดังจากกปารีสไปถึงปักกิ่งเลยก็ว่าได้ อุเหม่! ปัจจุบันใครๆ ก็ต้องยอมรับว่า นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักสมัยนี้มีแต่ชาวแดนมังกรทั้งนั้น อเมริกาหรือญี่ปุ่นเองก็เข้าสู่โหมดเศรษฐกิจถดถอย ใช้จ่ายไม่คล่องมือเหมือนเมื่อก่อน ยุโรปยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะล้มครืนอยู่รอมร่อ ต้องรัดเข็มขัดจนแน่นติ้ว

เฮียจะเปิดโรงแรมหรู สินค้าที่เฮียขายก็แบรนด์เนมหะรูหะเริ่ด ธุรกิจทุนนิยม บูชาเงินเห็นๆ เฮียต้องเอาใจพวกเศรษฐีสิ และยึดคติ "เงินคือพระเจ้า" ถ้าไม่รับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก แล้วเฮียจะสูบเงินได้จากไผ?

ที่สำคัญ มันแสดงให้เห็นเลยว่า เฮียเป็นพวก racist นะเนี่ย จะผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ผมดำ ผมแดง ผมทอง มันก็คนเหมือนกัน จะมาห้ามเฉพาะชนชาตินั้น ผิวสีนี้ได้ที่ไหน

อย่างเฮียน่ะเป็นพวก "arrogant" เย่อหยิ่ง อีโก้จัด ที่สุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนน้ำลายที่ตัวเองถ่มออกมา เสียหน้ามั้ยล่ะเนี่ย!

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Brothers สายสัมพันธ์พี่น้อง สงครามกับความรัก

ได้ VCD เรื่องนี้มาด้วยราคาแค่ 19 บาท ถูกมาก แผ่นแท้เอามาโละ คงเพราะเป็นหนังเก่าตั้งแต่ปี 2009 แม้จะคาดเดาเนื้อเรื่องได้จากภาพบนปก แต่ด้วยเครดิตของนักแสดงมากความสามารถ จะปล่อยให้นอนแช่ในลังได้ไง

ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง แซม พี่ชายผู้เดินตามรองเท้าพ่อ (โทบี้ แมคไกวร์) นาวิกโยธินที่อาสาไปประจำการในสงครามอัฟกานิสถาน กับทอมมี่ น้องชายเสเพล (เจค จิลเลนฮาล) ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า เป็นแกะดำของครอบครัว แน่นอนว่าไม่ถูกชะตากับพ่อที่เป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม และนางเอกของเรื่อง เกรซ (นาตาลี พอร์ตแมน) ภรรยานายทหารและคุณแม่ลูกสอง

เปิดฉากมาที่พี่ชายไปรับตัวน้องชายจากคุก ก่อนที่ตัวเองจะต้องไปประจำการที่อัฟกานิสถาน หนังก็เล่าเรื่องราวสงครามตามปกติ ฉายภาพชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ความโหดร้ายของเชลยศึก ฯลฯ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง วันที่ภรรยานายทหารทุกคนไม่อยากเจอ เมื่อเสียงออดดังขึ้นหลังจากสามีไปรบ เมื่อต้องเปิดประตูมาเจอนายทหารสองนายยืนรออยู่หน้าบ้าน พร้อมข่าวที่ไม่ต้องแจ้งก็รู้

เมื่อพี่สะใภ้ต้องกลายเป็นหม้ายลูกสอง น้องเขยย่อมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบครอบครัวพี่ชายที่เขารักมาก แน่นอนว่าความใกล้ชิดอาจทำให้จิตใจเผลอไผลไปบ้าง แต่บางทีก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบจากความเหงา ซึ่งย่อมหยุดยั้งได้หากมีสำนึกผิดชอบ

เรื่องกลับตัดไปที่อัฟกานิสถานที่ปรากฏว่า แซมไม่ได้เสียชีวิตอย่างที่คิด แต่ถูกจับเป็นเชลยและได้รับความช่วยเหลือนำส่งกลับบ้าน

แต่พอดำเนินเรื่องมาถึงตรงนี้ปุ๊ป ก็รู้สึกว่าบทมันขัดๆ บอกไม่ถูก ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่่าไหร่ และโดยบริบทก็ไม่มีเหตุจูงใจมากพอที่จะทำให้จู่ๆ พอพี่ชายที่รักน้องมากกลับจากสงครามจะเกิดสงสัยว่า น้องชายแอบเล่นชู้กับเมียตัวเองหรือเปล่า

แค่น้องชายดูไม่เสเพลเหมือนก่อน แค่น้องชายพาเพื่อนมาช่วยซ่อมครัวใหม่ให้พี่สะใภ้ แค่ลูกๆ สนิทกับน้องชายมากขึ้น แค่นี้จะทำให้คนๆ หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่ารักน้องชายและรักภรรยามากเกิดระแวงว่า คนสองคนที่เขารักมากจะสวมเขาให้เขางั้นเหรอ มันดูไม่มีเหตุผลเอามากๆ

ไม่ได้ติว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ แน่นอนว่าคุณจะไม่ผิดหวังกับการแสดงของทั้งสามคนเลย พวกเขาถ่ายทอดออกมาได้ดีมากทั้งสีหน้าและอารมณ์ ระหว่างเรื่องก็แสดงให้เห็นปมในใจของตัวละครแต่ละตัว โดยเฉพาะลูกสาวคนโต (Bailee Madison) ที่คิดว่าใครๆ ก็รักน้องมากกว่า หนูน้อยคนนี้แสดงสีหน้าและท่าทางได้เก่งทีเดียวเชียวล่ะ

แต่ตัวบทต่างหากที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ลื่นไหล ไม่ทำให้เชื่อหรือคล้อยตามได้ว่า จู่ๆ ทำไมพี่ชายถึงลุกขึ้นมาสงสัยน้องชาย ถ้าปูพื้นมาก่อนว่าน้องชายมีใจให้พี่สะใภ้แต่ต้น หรือสามคนสนิทกันมากมาก่อน หรืออะไรก็ตามที่จะส่อให้เกิดความระแวงได้ ก็อาจกระชากอารมณ์ได้มากกว่านี้

ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง ปมรักสามเส้า บอกตามตรงว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้ไม่สุด และเทียบไม่ได้เลยกับ Addicted (2002) หนังเกาหลีเรื่องที่เคยเขียนไว้ในตอน ไม่มีใครรักคุณมากกว่าผม

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรายังรักกันอยู่ไหม

เสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เกาหลีคือ บทพูดน้อย ให้ผู้ชมเสพความละเมียดละไมและรับรู้ความนึกคิดเอาเองจากบุคลิกของตัวละคร บทพูดจะน้อยชนิดที่บางคนอาจไม่ชอบ บ้างบอกดูแล้วเครียด บ้างแอบเหน็บว่า "กลัวพิกุลจะร่วงรึไง"

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ "สื่อเงียบ" บอกเล่าเรื่องราวของคนสองคนที่ชีวิตคู่ดูเหมือนจะมาถึงทางตัน ระหว่างที่สามีขับรถมาส่งภรรยาไปต่างประเทศ จู่ๆ ภรรยาก็เอ่ยว่า "ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายออก" บอกลากันแบบไม่ทันให้สามีตั้งตัว ฝ่ายสามีก็ได้แต่อึ้งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไร

แล้วก็ตัดฉากกลับมาที่บ้าน ในวันที่ภรรยาเตรียมเก็บข้าวของ ภรรยาเป็นสาวแวดวงการพิมพ์ สูบบุหรี่จัด ดูจากการที่เธอเดินไปเดินมา เก็บของเข้าๆ ออกๆ ก็พอจะบอกนิสัยของตัวละครตัวนี้ได้

ในขณะที่สามีคอยอยู่ข้างล่าง โทรจองร้านอาหารที่ภรรยาโปรดเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อสุดท้าย ค่อยๆ ละเมียดละไมชงกาแฟให้หญิงคนรัก และช่วยเก็บแก้วคู่ชามชุดที่ภรรยามักนำมาใช้เฉพาะโอกาสพิเศษมาห่อแพ็คอย่างดี หวังจะให้เธอนำไปใช้ที่บ้านใหม่กับ "ผู้ชายคนใหม่" ของเธอ แค่นี้ก็พอจะบอกได้ว่าเขารักเธอแค่ไหน

หนังดำเนินไปอย่างเนิบช้า มีตัวละครหลักแค่สองตัว บทสนทนาไม่มาก แต่ดูก็สัมผัสได้ถึงความรักและรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งคู่ยังมีเยื่อใยกันอยู่

เรายังรักกันอยู่ไหม...ไม่มีใครถามออกมาตรงๆ แต่สัมผัสได้จากอารมณ์ของหนัง

บางทีนิสัยที่ต่างกันอาจทำให้ไม่ลงรอยกันบ้าง หรือการอยู่ด้วยกันนานๆ อาจทำให้รู้สึกชินชาจนน่าเบื่อ แต่นั่นอาจเป็นแค่อุปสรรค์ที่ทำให้ชีวิตรักสะดุดลงบ้าง

อุปสรรคก็เหมือนฝน ถึงฝนจะตก แต่เดี๋ยวแดดก็จะออก
"Come Rain, Come Shine" คือชื่อของหนังเรื่องนี้

โดยส่วนตัวชอบชอบพระเอก ฮยอนบินเป็นนักแสดงที่แสดงออกทางสายตาได้แสนเศร้าพอๆ กับลีบยองฮุน ส่วนนางเอก อิมซูจองก็แสดงอารมณ์ได้ดีเหมือนทุกเรื่องที่ผ่านมา

ไม่อยากชวนให้ดู เพราะหนังราบเรียบ พูดน้อยและค่อยๆ ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีการสาดเสียงใส่กันเหมือนเมโลดราม่ายุคนี้ มักไม่ถูกจริตคนในยุคที่ชีวิตมีแต่ความรีบเร่ง ทุกอย่างต้องชัดเจนฟันธง

แต่หากคุณต้องการความละเมียดละไม อยากสัมผัสกลิ่นอายความรักที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงจะให้ผู้หญิงได้...ผู้ชายที่ "ดีเกินไป"...ก็อยากชวนให้ชม

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลาลิเบลา เมืองลับแลแห่งเอธิโอเปีย

เมื่อคืนบังเอิญเปิดไปเจอสารคดีเกาหลีทางช่อง KBS เลยได้รู้จักกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมืองลับเลแห่งเอธิโอเปีย เมืองนี้ชื่อ ลาลิเบลา (Lalibela) เป็นเมืองเล็กทางตอนเหนือของประเทศ ได้ชื่อว่าเป็น holy land ดินแดนแห่งการจาริกแสวงบุญที่ชาวคริสต์ในแถบนั้นอยากจะมาสักการะสักครั้งในชีวิต

Lalibela เดิมทีชื่อ Roha แต่ต่อมาเปลี่ยนตามชื่อกษัตริย์ Gebre Mesqel Lalibela ในราชวงศ์ซักเว (Zagwe Dynasty) ที่ปกครองเอธิโอเปียสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12–13 ตามตำนานเล่าว่า ตอนทรงพระเยาว์ เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเยรูซาเลม เลยมีพระประสงค์จะสร้้าง New Jerusalem ที่เมืองนี้

พระองค์รับสั่งให้สร้างโบสถ์คริสต์ โดยให้ขุดพื้นดินโดยรอบลงไปเป็นหลุมลึก และสร้างโบสถ์ในหลุมที่สลักจากหินก้อนเดียว (monolithic rock-cut church) หลังคาจะขนานราบกับพื้นดิน น่าทึ่งมากที่เมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน คนโบราณมีวิธีสลักหินภูเขาไฟสีแดงจนกลายเป็นอาคารหลายชั้นได้ และไม่ใช่แค่อาคารเดียว ทั้งหมดมีถึง 11 หลังด้วยกัน แถมที่น่าทึ่งกว่าคือ ทั้ง 11 หลัง มีอุโมงค์ที่เดินเชื่อมถึงกันได้ amazing มากๆ!

อาคารทั้ง 11 หลังจะแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม (ดูแผนที่) แต่จะขอพูดถึงสถานที่หลักๆ ได้แก่ กลุ่มทางเหนือ Bet Medhane Alem ที่เชื่อว่าเป็นโบสถ์สลักจากหินก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในนั้นจะพบกางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งลาลิเบลา (Lalibela Cross)

สถานที่สำคัญอีกแห่งคือ Bete Maryam (St. Mary) โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุด ภายในโบสถ์ก็จะมีภาพวาด ที่สำคัญคือ ที่นี่เก็บความลับการสร้างโบสถ์นี้ไว้บนเสาหิน ที่ถูกคลุมด้วยผ้าเก่าโบราณและอนุญาตให้เฉพาะนักบวชเท่านั้นถึงจะเปิดดูได้ ถัดมาจะเป็น Bete Golgotha ในนี้จะเป็นสุสานฝังศพของกษัตริย์ลาลิเบลา บนกำแพงจะมีหินแกะสลักรูปนักบุญขนาดเท่าตัวจริง

ทางตะวันตกจะประกอบด้วย The Selassie Chapel และ The Tomb of Adam แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของฝั่งนี้คือ Bete Giyorgis (St. George's) ที่ดูจะสวยที่สุดและได้รับการดูแลดีที่สุด อาจเพราะเป็นโบสถ์ที่สร้างเป็นหลังสุดท้ายก็เป็นได้ บางคนถึงกลับยกตำแหน่ง "สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก" ให้เลย มหัศจรรรย์งานสร้างฝีมือมนุษย์โดยแท้

ฺโบสถ์นี้จะสร้างลึกลงไปจากพื้นดินราว 40 ฟุต และหลังคาโบสถ์ที่ขนานราบกับพื้นจะเป็นรูปไม้กางเขนกรีก (ดูภาพบนสุด) ว่ากันว่าสร้างหลังจากที่กษัตริย์ลาลิเบลาสิ้นพระชนม์ โดยพระชายาเป็นผู้รับสั่งให้สร้างเพื่อรำลึกถึงพระสวามี

หลังจากทึ่งกับความอลังการงานสร้างฝีมือมนุษย์แล้ว รายการก็พาไปชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองลาลิเบลา ที่นี่มีประชากรแค่หมื่นนิดหน่อย ดูจากสภาพต้องบอกว่าจนสุดๆ แมลงวันก็เยอะมาก พื้นดินดูแห้งแล้ง ถนนหนทางก็เป็นดินลูกรังเสียส่วนใหญ่ ดูแล้วไม่อยากเชื่อว่าสมัยก่อนจะเคยรุ่งเรืองมาก่อน อย่าลืมว่า เอธิโอเปียเคยเป็นแหล่งอารยธรรมอักซุม (Axumite Civilization) ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อื่น

ถึงจะดูยากจน แต่พวกเขาก็ดูจะมีความสุขกันตามอัตภาพ ชาวเมืองยังคงศรัทธาในศาสนา ที่น่าประทัีบใจคือ พวกเขาไม่ได้ภาวนาให้ร่ำรวยขึ้น หรือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่กลับ "plead for peace" ขอให้โลกนี้สงบสุข

เลยนึกย้อนถามตัวเองว่า บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราจะอธิษฐานแบบนั้น?

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรุงเทพฯ รถติดที่สุดในโลกจริงหรือ?

เห็นหลายสำนักโพสต์ข่าวนี้ ฟังแล้วก็ตะหงิดๆ ไม่อยากจะเชื่อ ตอนทำสำรวจ BBC คงลืมไปเมืองใหญ่ในจีน อย่างปักกิ่งเองก็เคยเป็นข่าว รถติดยาวเป็นร้อยโล หรือล่าสุดที่เซาเปาโลในบราซิล ที่ทุบสถิติรถติดยาวเหยียดถึง 180 กิโลกันเลยทีเดียว

โดยส่วนตัวเลยไม่เชื่อว่า กรุงเทพฯ จะขึ้นแท่นรถติดที่สุดในโลก ขอเข้าไปดูข้อมูลที่ BBC หน่อย แล้วก็ปรากฎว่า...

1 ชม ในกรุงเทพฯ เดินทางได้ราว 50-60 กม. ในขณะที่่ในมุมไบ ชั่วโมงครึ่ง-สองชั่วโมง เพิ่งขยับไปได้แค่ 18 กม. ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกา ที่เมืองออสติน เท็กซัส แค่ 3 กม. ยังใช้เวลาึเดินทางถึง 45 นาที มันแย่กว่าบ้านเราอีกนะ

คนที่นำข่าวนี้มานำเสนอเนี่ย อ่านข่าวครบถ้วนกระบวนความรึเปล่า ที่เขาเอ่ยถึงกรุงเทพฯ เป็นเมืองแรก ไม่ได้หมายความว่า Thailand's the worst นะคะคุณ!

แต่ฉันก็ยังยืนยันว่า ถ้า BBC ไปสำรวจเมืองใหญ่ในจีน กรุงเทพฯ ไม่ติด 1 ใน 10 หรอก ชัวร์!

อ้างอิง: http://www.bbc.co.uk/news/magazine-19716687

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

The Flowers of War

เมื่อวานต้องเสียน้ำตามากมายกับภาพยนตร์ล่าสุดของจางอี้โหมว "The Flowers of War" (2011) ที่สร้างจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ของ Geling Yan 《金陵十三钗》หรือ The 13 Women of Nanjing ที่บอกเล่าถึงหนึ่งในเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์จีน

ภาพยนตร์ของจางอี้โหวไม่ทำให้ผิดหวัง ทั้งภาพและการเล่าเรื่องทำออกมาได้สวยไม่แพ้หนังสงครามของฮอลีวู้ด แต่ภาพยนตร์เอเชียมักถ่ายทอดในแง่มุมที่ลึกซึ้งกินใจมากกว่า เรื่องนี้ก็เช่นกัน

ย้อนกลับไปปี 1937 สมัยที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองนานกิง เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญผู้คนทั่วโลก ที่รู้จักกันในนาม The Rape Of Nanking หรือ The Nanjing Massacre ทหารญี่ปุ่นเข้ายึดเมือง เข่นฆ่าชาวจีนอย่างโหดร้าย ย่ำยีศักดิ์ศรีของชาวจีนเป็นว่าเล่น และที่สะเทือนใจที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ที่ผู้หญิงชาวจีน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ สาวหรือแก่ ชาวบ้าน ครู หรือแม่ชี แม้แต่หญิงท้องก็ถูกทหารญี่ปุ่นรุมกระทำชำเรา ข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งอย่างทารุณ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากที่เด็กสาวกลุ่มหนึ่งพากันวิ่งหนีทหารเพื่อกลับเข้าโบสถ์ กลุ่มทหารที่สละชีพเพื่อปกป้องคนในชาติ สัีปเหร่อขี้เมาอเมริกันที่เดินทางมาฝังศพนักบุญ และกลุ่มหญิงงามกลางเมืองที่หนีเข้ามาพึ่งใบบุญของศาสนจักร

โบสถ์...สถานที่ที่น่าจะศักดิ์สิทธิ์และปลอดภัย

ทว่าในยามที่เกิดภาวะสงครามและท่ามกลางความโหดร้าย ไม่มีสถานที่ไหนปลอดภัยอย่างแท้จริง

และเมื่อชายขี้เมาที่จับพลัดจับผลูต้องกลายมาเป็นนักบวช หญิงกลางเมือง เด็กสาวไร้เดียงสาจำต้องมาอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน เผชิญกับศัตรูกลุ่มเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สอนให้เรารู้ซึ้งถึงคำว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรษและวีรสตรีอย่างแท้จริง คุณค่าของคนไม่ได้วัดจากวัยหรืออาชีพ แต่จากความเสียสละตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นรอด

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสนเศร้าอย่างน่าประทับใจ และย้ำให้รู้ว่า ไม่ว่าชีวิตจะผ่านมรสุมอะไรมา หรือชีวิตจะปลุกปั้นให้เรากลายเป็นคนแบบไหน แต่ลึกๆ แล้ว เมล็ดพันธุ์ความดีที่อยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์จะแตกหน่อและผลิบานได้ แม้จะแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

Street Library

โคลัมเบีย ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชายาเสพติด แต่ยังปลูกฝังประชาชนให้รักการอ่าน ห้องสมุดไม่จำเป็นต้องใหญ่โต มีหนังสือเป็นหมื่นเป็นพัน ที่นี่ เขาติดตั้ง tiny library ห้องสมุดจิ๋วกว่าร้อยแห่งทั่วประเทศ ตั้งอยู่ตามสวนสาธารณะ จุดหนึ่งมีหนังสือแค่ 350 เล่มโดยประมาณ มีอาสาคอยช่วยกันดูแล และยังช่วยสอนการบ้านเด็กๆ ด้วย

เมืองที่ส่งเสริมการอ่าน อย่างกรุงเทพฯ มีห้องสมุดสักกี่แห่งกัน หรือมีโครงการส่งเสริมให้คนรักการอ่านที่เป็นรูปธรรมบ้างมั้ย เห็นแต่โปสเตอร์โฆษณา ที่ไม่ได้เน้นหนังสือสักเล่ม - -"

ยังดีที่มีคนไทยได้แรงบันดาลใจจากโครงการนี้ พี่โหน่ง วงศ์ทนง แห่ง a day จับมือกับหนุ่มหล่อขั้นเทพ โดม ปกรณ์ ลัม ร่วมกันทำโครงการ Street Library ห้องสมุดฟุตบาท แต่ไม่รู้ว่าจะไปติดตั้งที่ไหนบ้าง ต้องคอยติดตามต่อไป อย่างน้อยได้คนดังมาริเริ่มโครงการนี้ มันก็น่าจะเป็นจุดสนใจและเป็นรูปเป็นร่างมากกว่ารอรัฐบาลมาทำ

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

Naked Wedding

ชาวจีนยุคใหม่นิยม “裸婚” luo hun (หลั่วฮุน) หรือ Naked Wedding มากขึ้น คำว่า Naked Wedding ไม่ได้หมายถึง Nude Wedding ของฝรั่งที่เน้น "เปลือย" กันทั้งงาน แต่หมายถึงการแต่งงานที่ไม่มีอะไรเลย มากันแต่ตัวเปล่าๆ ไม่ต้องมีบ้าน ไม่ต้องมีแหวน ไม่ต้องมีสินสอด ดีไม่ดีไม่ต้องมีงานเลี้ยงด้วย เสียแค่ค่าจดทะเบียน 9 หยวน ไม่เกินร้อยบาทไทยก็เป็นอันเรียบร้อย

แน่ล่ะว่าการแต่งงานแบบนี้ ผู้ชายส่วนใหญ่เห็นด้วย ก็แหม มันออกจะถูกแสนถูก ได้เมียทั้งคนเสียแค่ 9 หยวน ในขณะที่ผู้หญิงกว่า 70% ไม่เอาด้วย เว้นแต่จะรักกันเหลือเกิน และเต็มใจจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน แต่สมัยนี้จะมีผู้หญิงกี่คนที่คิดแบบนี้? อืม...

Life Jigsaw

ชีวิตเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ ที่ต้องต่อทีละชิ้นให้ "ประสาน" ลงตัวกันเป็นอย่างดี ว่ากันว่า จิ๊กซอว์ชีวิตของมนุษย์มีมากถึง 29,220 ชิ้น ตัวเลขนี้มาจากการคำนวณโดยดูจากอายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ที่ 80 ปี (365 x 80 = 29,200) บวกกับเดือนกุมภาพันธ์ที่มี 29 วันอีก 20 (4 ปี มี 1 ครั้ง) หรือใครที่มีอายุขัยยืนยาวกว่านั้น ปริมาณตัวต่อจิ๊กซอว์ชีวิตก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

สำหรับจิ๊กซอว์ทั่วไปนั้น เราสามารถรู้ล่วงหน้าว่า ภาพสุดท้ายที่ต่อออกมาจะเป็นอย่างไร ในขณะที่จิ๊กซอว์ชีวิต เราไม่มีทางรู้จนกว่าจะต่อเสร็จ และเราเท่านั้นที่จะเป็นคนถักทอต่อมันทีละชิ้น ทีละชิ้น จนกลายเป็นภาพสุดท้าย

บางคนคิดว่า จิ๊กซอว์ชีวิตที่เห็นในตอนนี้เป็นภาพที่ดีที่สุดแล้ว หรือบางคนคิดว่า ยิ่งต่อเป็นภาพได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เราอาจหลงลืมไปว่า จิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายต่างหากที่จะเป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จที่แท้จริง

สิ่งที่สำคัญกว่า "การไปได้เร็ว" คือ "การไปให้ถูกทาง" และภาพความสำเร็จในวันนี้อาจไม่เข้ากับภาพใหญ่ทั้งหมดของชีวิตก็ได้

ลองจินตนาการถึงภาพใหญ่ในชีวิตที่เราอยากเห็นในวันสุดท้ายก่อนจากโลกนี้ไปสิ แล้วทบทวนดูว่า ภาำพที่ต่อไว้ในตอนนี้จะพาคุณไปสู่ภาพสุดท้ายที่วาดไว้หรือเปล่า

แต่จำไว้นะว่า ถึงจะย้อนกลับไปแก้ภาพเก่าในอดีตไม่ได้ แต่ถ้าเริ่มต้นใหม่ตอนนี้ ภาพอนาคตก็จะเปลี่ยนแปลงได้

.

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นหลังจากอ่าน "จิ๊กซอว์ชีวิต" ของ ศ.คิมรันโด

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

作心三日 สามวันจอด

ภาษาเกาหลี มีคำว่า 作心三日 ดูโดยรวมแล้วเหมือนเป็นสำนวนจีน เพราะตัวหนังสือเป็นภาษาจีนหมด แต่ค้นดูแล้ว ในจีนไม่มีสำนวนนี้ สำนวนนี้ทางเกาหลีหมายถึง บางเรื่องที่ดูเหมือนตัดสินใจแน่วแน่ แต่พอผ่านไปแค่สามวันก็ทำท่าจะล้มแล้ว ในภาษาเกาหลีอ่านว่า "ชักซิมซัมอิล" (작심삼일)

ดูตัวอย่างคนที่ตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักสิ ผ่านไปสามวันท่าทางจะเอาไม่อยู่ หรือคนที่ตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่ แต่ไม่ถึงสามวันดีท่าจะไม่รอด ทั้งนี้เพราะเขาเชื่อว่า มันยากที่จะล้มเลิก "พฤติกรรมที่เคยชิน"

ฉะนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงนิสัยใดก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญสมองชาวญี่ปุ่นบอกว่า เราต้องเปลี่ยนโครงสร้างสมองก่อน ด้วยการหัดทำสิ่งใหม่จนเกิดความเคยชิน และอย่างน้อยต้องทำซ้ำๆ ติดต่อกันนาน 30 วันขึ้นไป

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

หมู่เกาะเจ้าปัญหา เซนกากุ/เตียวหยู ฮูเป็นเจ้าของกันแน่?

ดูท่าจะไม่จบกันง่ายๆ และดูจะยิ่งลุกลามบานปลายกันไปใหญ่ ก็ข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่นน่ะสิ ต่างคนก็ต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองหมู่เกาะเล็กๆ ที่รกร้างผู้คน แล้วจะเอาอะไรมาตัดสิน ก่อนอื่นเรามารู้จักหมู่เกาะเล็กๆ ที่ว่านี้กันก่อนดีกว่า

จากข้อมูลวิกิพีเดีย หมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออกนี้มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า The Senkaku Isles หรือทางการจีนเรียกว่า Diaoyu Tai หรือถ้าจะใช้ชื่อที่กองทัพอังกฤษเรียกในสมัยสงครามโลกก็คือ The Pinnacle Islands หมู่เกาะนี้ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ กระจิ๊บกระจ้อย ที่กินพื้นที่ทั้งหมดทั้งสิ้นแค่ 7 ตารางกิโลเมตร ดูจากแผนที่ก็จะเห็นเลยว่าอยู่ใกล้กับทั้งจีน ไต้หวัน และหมู่เกาะโอกินาวาของญี่ปุ่น

ทางการจีนก็อ้างว่า มีหลักฐานจากตำรา 顺风相送 (Voyage with a Tail Wind) ที่เอ่ยถึงหมู่เกาะนี้ตั้งแต่ปี 1403 สมัยราชวงศ์หมิง แต่ทางญี่ปุ่นก็อ้างว่าหมู่เกาะนี้เป็นหนึ่งในดินแดนของอาณาจักรริวกิว และมีหลักฐานมายืนยันเหมือนกัน แต่ถ้าย้อนไปถึงยุคนั้น ดูมันจะไกลเกินกว่าจะหาใครมาตัดสินได้ เรามาดูใกล้เข้ามาหน่อยกันดีกว่า

ในปี 1894 ญี่ปุ่นได้ก่อสงครามกับจีน และรัฐบาลราชวงศ์ชิงแพ้ จึงมีการลงนาม "สัญญาหม่ากวน" ในปี 1895 ว่า จีนจะยอมมอบเกาะไต้หวัน เผิงหู และเกาะบริวารในเขตของไต้หวันให้แก่ญี่ปุ่น และในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บริษัทญี่ปุ่นก็เข้าไปตั้งโรงงานแปรรูปปลาที่เกาะเซนกากุ พร้อมคนงานกว่าสองร้อยคน แต่พอปี 1940 ธุรกิจเกิดเจ๊ง เลยต้องปิดกิจการ หมู่เกาะเซนกากุเลยกลายเป็นเกาะร้าง พอปี 1970 ทายาทเจ้าของโรงงานก็ขาย 4 เกาะให้กับครอบครัวคุริฮาระ

พอญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก มีการลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก ปี 1951 ว่า ญี่ปุ่นจะต้องคืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดมาให้กับเจ้าของ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า "เกาะบริวารในเขตของไต้หวัน" ทางจีนถือว่ารวมเกาะเตียวหยูเข้าไปด้วย ฉะนั้น ญี่ปุ่นจึงต้องคืนให้กับจีนถึงจะถูก

แต่ตอนนั้นด้วยความที่ทุกอย่างยังไม่ลงตัว และไหนจะเกิดสงครามเกาหลีอีก สหรัฐฯ ที่ชอบทำตัวเป็นพี่เบิ้มตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงยังยึดหมู่เกาะนี้ไว้สอดส่องดูแลปัญหาในคาบสมุทรนี้อยู่

ล่วงเลยมาจนปี 1971 อเมริกาก็ทำข้อตกลงกับญี่ปุ่นในข้อตกลงแก้ไขโอกินาว่า ว่าด้วยการส่งมอบอำนาจการบริหารทั้งหมดเหนือหมู่เกาะริวกิวและหมู่เกาะเซนกากุคืนให้ญี่ปุ่น ทางการจีนก็ออกมาตีโพยตีพาย หาว่าสองประเทศนี้รู้กัน แต่สหรัฐฯ ไม่สนและถือว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว

ปัญหามันเลยคาราคาซังไม่จบไม่สิ้นมาจนทุกวันนี้ และยิ่งเพิ่มประเด็นความร้อนแรงขึ้นเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศ "ซื้อเกาะ 3 เกาะ" ที่รัฐบาลทำสัญญาเช่าจากตระกูลคุริฮาระ ด้วยวงเงินสองพันกว่าล้านเยน หรือราว 26 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัญฯ ทำเอาพี่จีนเดือดปุดๆ เต้นผางๆ เพราะถือว่า ญี่ปุ่นละเมิดอธิปไตยอย่างร้ายแรง และชักจะบานปลายจนเกิดการประท้วงญี่ปุ่นแทบทุกหัวเมืองใหญ่ของจีน

ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่พื้นที่แค่ 7 ตารางกิโลเมตร แต่หนึ่งคือ "ศักดิ์ศรี" ที่ไม่ว่าชาติไหนก็ไม่อาจให้ใครมาหยามได้ ของของใคร ของใครก็หวง อยู่ดีๆ จะให้ยอมยกกันง่ายๆ หรือนั่งนิ่งเงียบดูเขาเอาไปต่อหน้าต่อตาได้ไง และสองคือ "ทรัพย์ใต้น้ำ" ที่กินอาณาบริเวณมากกว่าแค่ 7 ตารางกิโลเมตรแน่ๆ แหล่งพลังงานที่ในยุคนี้ใครก็ต้องการ

ปัญหายังไม่รู้จะคลี่คลายยังไง แต่เชื่อว่าจะต้องทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แน่ จีนกับญี่ปุ่นก็เหมือนมีแค้นฝังหุ่นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมัยที่ญี่ปุ่นรุกรานจีนก็ทำร้ายและฆ่าแกงประชาชนจีนจำนวนมาก อย่างโหดร้ายทารุณด้วย ความขัดแย้งครั้งนี้ ชาวจีนย่อมตอบโต้อย่างรุนแรงไม่ไว้หน้ากันแน่

ลำพังตอนนี้ก็มีการเผาห้าง ทำลายข้าวของกันแล้ว ไม่อยากนึกว่าจะเตลิดไปได้ถึงไหน...

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

The Voice Thailand

เพิ่งได้ดู the voice ฉบับไทยครั้งแรก ถึงจะดูผ่านเน็ต กระตุกๆ บ้าง ก็พอรับไหว พี่ไทยเอามาทำได้ไม่แพ้ AXN เลย แต่ละคนที่มาคัดเลือกรอบ blind audition (ไม่เห็นหน้านักร้อง) ก็เสียงดีๆ ทั้งนั้น (แต่โค้ชไทยดูจะกดเลือกแทบทุกคนเลยนะ ของฝรั่งบางทีกว่าจะเลือกได้คน น้านนาน) ตอนที่มีข่าวไทยจะทำรายการนี้ มีเสียงวิพากษ์คนที่จะมาเป็นโค้ชกันเยอะ แต่ก็เห็นอยู่ว่า เสน่ห์ของรายการก็อยู่ที่โค้ชทั้ง 4 คนด้วย ที่เน้นลูกฮากว่าฝรั่งเยอะ ถูกจริตคนไทย น่าจะมีคนติดตามมากแน่

ในรอบ Blind Audition จะทำให้เห็นความสามารถของผู้เข้าแข่งขันโดยไม่คำนึงถึงหน้าตา ขำดีที่มีคนทวิตว่า The Voice คือรายการที่แสดงให้เห็นถึง diversity of human being จริงๆ เช่น ทอมเสียงสวย กะเทยเสียงสาว สจ๊วตร้องคาราบาว ฯลฯ เพราะเสียงที่คุณได้ยินอาจไม่ตรงกับหน้าตาที่คุณวาดไว้ในใจ!

ก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะว่า พอคัดตัวได้ครบตามจำนวนที่ระบุทุกทีมแล้ว รอบ Battle จะมันส์แค่ไหน จะฟาดฟันน้ำเสียงกันดุเดือดเพียงไร ค่อยดูเป็นรายการประกวดร้องเพลงที่มีสีสันและน่าติดตามหน่อย :)

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

Hunger Strike

เห็นข่าวนักเรียนในฮ่องกงประท้วงจีนด้วยการอดอาหาร ทำให้นึกถึงบุคคลท่านนี้ ผู้ที่ต่อสู้กับอังกฤษแบบอหิงสา ไม่ใช้ความรุนแรง ด้วยการอดอาหารประท้วง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hunger Strike ที่ผู้ประท้วงจะทำการ fasting หรือ fast (คำเดียวกับที่แปลว่าเร็วนี่แหลค่ะ) เช่น a 7-day fast งดอาหาร (บางคนก็ถึงขั้นงดน้ำด้วย) นานหนึ่งสัปดาห์

ในการต่อสู้กับมหาอำนาจ ท่านมหาตมะ คานธี ประท้วงด้วยการอดอาหารอยู่บ่อยครั้ง (รวมถึงวิธีอื่นที่ไม่ใช้ความรุนแรงด้วย) จนได้ชัยชนะในที่สุด

เคยได้ยินข่าวว่าบ้านเราก็มีคนใช้วิธี hunger strike แต่พอทำไปได้สามวัน ไม่มีใครสนใจ เลยเลิก :P

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

Third Drop of Tear

"ผมเพิ่งรู้ว่า น้ำฝนมีรสหวานชื่นขนาดนี้"

น้ำตาหยดที่สาม และเป็นหยดสุดท้ายของ The Allure of Tears เป็นเรื่องราวความรักของชายหนุ่มยากจนกับหญิงสาวผู้มุ่งมั่น ทั้งคู่พบรักกันท่ามกลางสายฝน และตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน แชร์ความฝันเดียวกัน ทว่ารักแท้ต้องมีอุปสรรค พวกเขาจะฝ่าฟันมันไปได้หรือไม่

หนังสั้นตอนนี้มีทั้งรสหวานและรสขมในคราวเดียวกัน ดูแล้วทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ ไม่รู้จะบรรยายยังไง บอกได้คำเดียวว่า ยิ่งกว่าโรมิโอกับจูเลียต ต้องดูเอง

สรุปว่า ทั้งสามตอนช่างเป็นหนังที่ช่วยบริหารต่อมน้ำตาได้สมชื่อจริงๆ

Second Drop of Tear

"Life is either a daring adventure or nothing" - Helen Keller

จากน้ำตาหยดแรกที่แสนเศร้าแต่อิ่มเอมใจ มาถึงน้ำตาหยดที่สองที่สดใสขึ้น เป็นน้ำตาแห่งพลังของความฝันและความหวัง บางคนมีฝัน แต่กี่คนจะทำฝันให้เป็นจริงได้ และคนที่ฝันเป็นจริงแล้ว เกิดวันหนึ่งฝันนั้นต้องถล่มทลายลงมา เขาจะกลับมาอยู่กับความเป็นจริงได้หรือไม่

ตอนนี้ไม่เศร้าเท่าไหร่ เป็นเรื่องราวการต่อสู้ของโรงเรียนดนตรีที่ถูกมรสุมการเงินโหมซัดจนถึงขั้นต้องปิดกิจการ โรงเรียนใกล้จะถูกยึด เหล่าลูกศิษย์จึงพยายามหาทางรักษาโรงเรียนแห่งนี้ไว้

คอนเสิร์ตการกุศลที่พวกเขาจะจัดขึ้น โดยหวังจะให้อดีตศิษย์เก่าที่เป็นศิลปินโด่งดังระดับโลกมาเป็นตัวเรียกแขก ทว่าเธอกลับหายไปจากวงการดนตรีเมื่อหลายปีก่อน และเมื่อพบแล้วจึงรู้ความจริงว่า อุบัติเหตุจากการแสดงเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ฝันของเธอต้องจบลง

แม้จะมีอุปสรรคทางกาย แต่หากหัวใจยังสู้ อุปสรรคก็จะฝ่าฟันไปได้

เยิ่น เสียนฉี หรือ Richie Ren ยังคงร้องเพลงเพราะเหมือนเดิม ฟังเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้คลิก The Allure of Tears Movie OST

The First Drop of Tear

ได้ดูภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องหนึ่ง ประทับใจมาก เป็นหนังสั้นสามตอนในเรื่องเดียวกัน ภายใต้ชื่อว่า 倾城之泪 (Qing Cheng Zhi Lei) หรือภาษาอังกฤษว่า The Allure of Tears ชื่อก็บอกเป็นนัยแล้วว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องทำให้คุณเสียน้ำตาแน่

ด้วยความที่ประทับใจทุกตอนแตกต่างกันไป จึงขอเขียนถึงทีละตอน เริ่มต้นที่น้ำตาหยดแรก "The First Drop of Tear" ที่เปิดฉากมาด้วยภาพสวยกับฝันร้ายของช่างภาพหนุ่มลูกเศรษฐ๊เอาแต่ใจ ที่พบว่าตัวเองมีเนื้องอกในสมอง และรับความจริงไม่ได้ว่า ตัวเองอาจตายในไม่ช้า

ในโรงพยาบาลที่เขารักษา เขาได้พบกับ "พาวเวอร์เกิร์ล" สาวน้อยร่าเริงที่นำความสดใสมาสู่ทุกคนรอบด้าน แม้ตัวเองจะป่วยเป็นมะเร็งใกล้ตายเช่นกัน

"เรามาตายด้วยกันนะ" คำพูดสั้นๆ ที่เป็นเหมือนสัญญาใจของคนใกล้ตายสองคน ที่ทำให้การจากโลกนี้ไปดูไม่น่ากลัวนัก

แต่อยู่มาวันหนึ่ง คำพูดของคนๆ หนึ่งทำให้เธอได้คิดว่า "การที่คนหนึ่งตายและปรารถนาให้อีกคนอยู่อย่างมีความสุข ไม่โรแมนติกกว่าเหรอ" ชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา แม้จะไม่เนิ่นนานนัก แต่ก็อาจเป็นความหวังของใครคนหนึ่งให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้

อย่ากลัวว่าชีวิตจะจบลง แต่จงกลัวว่ามันยังไม่ได้เริ่มต้น

Fear not that thy life shall come to an end,
but rather fear that it shall never have a beginning.
- John Henry Cardinal Newman

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Choose to be...

แรงเหลือเกินกับกระแสข้อความล่าสุดของ ดร หนุ่มรูปหล่อแฟนสวย ที่จริงข้อความที่เขาโพสต์ก็ไม่ได้ใหม่แกะกล่องจากสมองด๊อกเตอร์ แต่เป็นโพสต์ที่แชร์กันเกลื่อน บังเอิญเฮียมาโพสต์ตอนมีเรื่องอื้อฉาวพอดี เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็เลยเป็นเรื่อง

"On the internet you can be anything you want. It's strange that so many people choose to be stupid."

ข้อความนี้เขามีไว้แซวกันขำๆ มากกว่า เพราะบางคนก็ขยันทำเรื่องโง่เง่าออกสื่อ ปกติแล้วคนเรามักชอบใจเวลาได้ยินคำชม และหงุดหงิดเวลาถูกตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์

ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มักหันด้านที่สวยงามให้คนอื่นเห็น คุณอยากให้ใครมองคุณอย่างไร ก็หันด้านนั้นให้เขาเห็น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ และไม่น่ารังเกียจเลยสักนิด

ที่น่ารังเกียจคือ พวกที่เก็บกดและชอบแสดงความหยาบกร้านกร่างซ่าส์บนโลกไซเบอร์มากกว่า ที่บางคนเรียก "นักเลงคีย์บอร์ด" คิดจะพิมพ์อะไรก็พิมพ์ไป จริงเท็จไม่รู้ เอามันส์เข้าว่า จะสบถด่าหลุดถ้อยคำผรุสวาท ฟักแฟงแตงโม-เหี้ยห่าสารพัดสัตว์ ก็จัดไปเต็มที่ ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบการกระทำของตัว และไม่สนใจว่าใครอื่นจะเสียหาย คนจำพวกนี้ต่างหากที่น่ารังเกียจ

เลยชักสงสัยว่า On the internet you can be anything you want, why choose to be rude and ugly?

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Blue Moon

วันก่อนเสนอคำว่า "White Lie" ไปแล้ว และเซ็งทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า "โกหกสีขาว" วันนี้เลยนึกถึงปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นวันนี้ วันที่ 31 สิงหา ที่เรียกว่า "Blue Moon" หรือพระจันทร์สีน้ำเงิน แต่อย่าคิดว่าพระจันทร์จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินเชียวนะคะ ไม่มีทาง! ที่มันได้ชื่ออย่างนั้นก็เพราะ ฝรั่งตั้งชื่อให้มันต่างจากวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง หรือ Full Moon ปกติเท่านั้นเอง

โดยส่วนใหญ่แล้ว ปีหนึ่งจะมีวันพระจันทร์เต็มดวง 12 ครั้ง เฉลี่ยเดือนละครั้ง แต่นานๆ ทีจะมีบางเดือนที่พระจันทร์จะเต็มดวงสองครั้ง และวันที่แถมขึ้นมานั่นล่ะค่ะที่เรียกว่า blue moon

แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันจะเกิดปรากฏการณ์นี้เมื่อไหร่ เรื่องแบบนี้พวกนักดาราศาสตร์เขาคำนวณกันได้ค่ะ เพราะพระจันทร์จะเต็มดวงทุกๆ 29.53059 วัน และทุกหนึ่งร้อยปี (1200 เดือน) จะมีพระจันทร์เต็มดวง 1236.83 ครั้ง ถือเป็น blue moon 36.83 ครั้ง หรือพูดง่ายๆ ว่าทุก 2.72 ปีเกิดที

แถมเท่กว่านั้นคือ ทุก 19 ปีจะมีการเกิดบลูมูนปีละ 2 ครั้ง Blue Moon ที่เกิดซ้อนกันในหนึ่งปี เขาเรียกว่า Double Blue Moons (จำง่ายดีเนอะ) ล่าสุดเกิดไปแล้วเมื่อปี 2542 +19 เข้าไป คราวต่อไปก็ 2561 อีกแค่หกปีเอง

แต่ก่อนจะถึง Double Blue Moons ในอีกหกปีข้างหน้า เรากลับมาที่ Blue Moon กันก่อน เพราะวันนี้ล่ะค่ะ (31/8/2012) เราจะได้เห็นวันเพ็ญรอบสองของเดือนสิงหาคม ที่คาดว่าจะเต็มดวงเต็มที่เวลา 20.57 น. คืนนี้ก็อย่าลืมเงยหน้าชมจันทร์กันหน่อยนะคะ

ด้วยความที่มันเป็นสิ่งที่นานๆ เกิดขึ้นที เขาถึงมีสำนวนภาษาอังกฤษว่า "once in a blue moon" เพื่อสื่อให้เห็นสิ่งที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักที (แต่ไม่รู้ว่าถ้าหายากๆๆๆๆๆๆๆๆ จะใช้คำว่า once in double blue moons หรือเปล่า อุอุ) แต่ยังไงก็เถอะ ถึงบางสิ่งจะเกิดขึ้นยากเย็นเต็มที แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ จริงมั้ยคะ

ปิดท้ายที่คำไทยของคำว่า Blue Moon ค่ะ ถ้าแปลเป็นไทยตรงตัวจะเรียกว่าพระจันทร์สีน้ำเงิน แต่ราชบัณฑิตยสถานของเรา (หรือเปล่าไม่แน่ใจ) ก็ช่างสรรหาคำมาบัญญัติให้เราต้องแปลไทยเป็นไทยสองสามตลบทุกที คำทางการของปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "ทุติยเพ็ญ" เดาว่าคงมาจาก ทุติย (ที่สอง) + (วัน) เพ็ญ ก็ถือว่าตรงกับความหมายของปรากฏการณ์มากทีเดียว แต่เวลาคนทั่วไปได้ยินจะเข้าใจมั้ยเนี่ย อิอิ

ปล. อย่าลืมแหงนหน้าชมจันทร์คืนนี้กันนะคะ ^ ^

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

White Lie or Big Fat Liar

การโกหกเล็กน้อยเพื่อรักษาน้ำใจ หรือเพราะไม่อยากให้ใครเจ็บปวด หรือไม่คิดว่าจะทำร้ายใคร แบบนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า White Lies แต่ถ้าเราโกหกเล็กน้อยแบบนี้บ่อยๆ มันจะชินเป็นนิสัย และเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ยังไงโกหกก็คือโกหก การพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวก็ถือว่าโกหกเหมือนกัน อย่างที่ Austin O'Malley เคยกล่าวไว้ "Those who think it is permissible to tell white lies soon grow color-blind."

บางคนก็พลิกแพลงเป็น black lie เพื่อสื่อถึงการโกหกอย่างร้ายกาจ แต่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก ยังมีคำว่า red line ด้วยค่ะ แต่คำนี้มักใช้เวลาโกหกเพื่อตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายก็รู้ว่่าเราโกหก เหมือนในเนื้อเพลง red line to me, tell yourself it's over โกหกไปเถอะว่าเราจบกันแล้ว อืม...จะเรียกว่าโกหกให้ตัวเองสบายใจ หรือเข้าข่ายหลอกตัวเองก็น่าจะได้นะ

แต่พวกโกหกหน้าด้าน โกหกคำโต โกหกหน้าตาย พวกนี้คือ "big fat liar"

Fifty Shades of Grey

50 Shades of Grey ที่ไม่ขาว ไม่ดำ โลกสีเทาที่หลากเฉดหลายมุม นวนิยายที่สมควรติดเรท "ฉ 20+" ปั่นกระแสแรง จนขึ้นแท่นไตรภาคที่ "สุดแสนร้อนแรงแห่งยุค" และได้รับคำวิจารณ์กระจาย ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ แต่ไม่ว่าใครจะพูดยังไง หนังสือสุดฉาวเล่มนี้ก็ทำให้นักเขียนโนเนมอย่าง E.L.James แจ้งเกิดในวงการได้ชั่วข้ามคืน คิดดูว่ากระแสแรงไม่แรง ขนาดฮอลีวูดยังซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ขนาดใครจะแสดงเป็นใครยังได้รับการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ไม่เชื่อลองถามอากู๋ดูก็ได้

ฉันได้ยินชื่อหนังสือเป็นครั้งแรกตอนที่เพื่อนสาวจากแดนไกลส่งข้อความมาถามว่า อ่าน "Fifty Shades of Grey" แล้วหรือยัง ฟังจากชื่อก็น่าสนใจดี และชวนให้นึกถึงนิยายอินเดีย "100 Shades of White" (ISBN: 978-0007143467) เพื่อนบอกจะเอาเล่มแรกมาให้ลองอ่าน แถมตบท้ายว่า "ขนาดแม่บ้านที่นี่ (อังกฤษ) ไปช้อปปิ้ง ยังลืมซื้อผ้าอ้อมลูก เพราะมัวแต่หอบสามเล่มนี้กลับบ้าน" อูว...ถึงขนาดลืมลูกกันเลยเหรอ ฮา

ฉันเลยมาปรึกษาอากู๋ถึงเห็นว่า นิยายไตรภาคชุดนี้ช่างฮอตและร้อนแรงแค่ไหนบนโลกไซเบอร์ เรียกว่าเป็นโรมานซ์อื้อฉาวแห่งยุค แต่มาสะดุดตรงที่เขาบอกว่า พระเอกมีรสนิยมค่อนไปทาง BDSM นี่แหละ โอ้แม่เจ้า จะไหวเหรอ? คำถามแรกผุดขึ้นในใจทันที

แต่พอได้อ่านจริงกลับรู้สึกอีกอย่าง ต้องบอกว่าเห็นด้วยกับนักวิจารณ์ที่ว่า ผู้เขียนไม่ได้เน้นภาษาสวยๆ หรือเทคนิคการเล่าเรื่องตามทฤษฎีการเขียนนวนิยายเลย ออกจะใช้ภาษาบ้านๆ ด้วยซ้ำ คำสบถก็มากมาย f-word ก็เพียบ แถมยัย angle voice ก็ชวนรำคาญตลอดทั้งเรื่อง (เหมือนนางเอกพูดหรือค้านกับตัวเองในใจ) พลอตพอจะเดาได้ แต่มีบางจุดที่เนื้อเรื่องพลิกผันเรียกความสนใจได้เป็นระยะ

ทว่าหนังสือเล่มนี้กลับโดนใจผู้อ่าน (เชื่อว่าโดยเฉพาะสตรีเพศ) ยอดขายถล่มทะลาย ทั้งที่เนื้อหาก็ไม่ต่างจากนวนิยายรักทั่วไป ที่พระเอกมหาเศรษฐีหนุ่มจะมาหลงรักนางเอกใสซื่อบริสุทธ์ ทว่าพระเอกในเรื่องเป็นยิ่งกว่าชายในฝัน ที่เบียดทั้ง Mr. Darcy (หนุ่มในฝันของสาวกเจน ออสติน) หรือ Mr. Big จาก Sex in the City ตกขอบไปเลย

Mr. Grey พ่อ 50 shades ของเราทั้งหล่อล่ำกล้ามบึก รวยล้นฟ้า ชนิดที่สามารถ "lay a world at your feet" แววตาชวนสะกด รอยยิ้มสุดจะกระชากใจ และยังขี้หึงขี้หวงสุดๆ ที่สำคัญ ลีลารักยังดุเด็ดเผ็ดมัน เรียกว่าเป็น dream sex fantasy สำหรับสาวๆ เลยทีเดียว กำลังวังชาไม่มีตก จนนึกว่ากินไวอากร้าแทนข้าว ฉากเร่าร้อนระหว่างคู่พระนางก็บรรยายซะถึงพริกถึงขิงตลอดทั้งเล่ม สปาร์กก็ง่าย แถมยัง "explosive’ orgasms" กันได้ทุกที่ทุกเวลาและทุก surface!

เพื่อนบอกว่า โรมานซ์อื้อฉาวนี้ถึงกลับทำให้ชีวิตรักของบางคู่ดีขึ้น "อย่างเห็นได้ชัด" (เรียกว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป) แต่นั่นเป็นตัวดึงดูดให้คนหลงใหลไตรภาคชุดนี้เหรอ สำหรับฉันคิดว่า สิ่งที่ทำให้ 50 Shades โดนใจตรงที่มันเปิดอีกโลกทัศน์หนึ่งให้ผู้อ่านได้สัมผัสมากกว่า เพราะถ้าเป็นเซ็กซ์ซีนทั่วไป หรือที่ในเรื่องเรียก vanilla sex ก็คงไม่สร้างกระแสหวือหวาได้ขนาดนี้

อย่างที่บอกแต่ต้น พระเอกมีรสนิยมค่อนไปทาง BDSM ที่อาจเป็น "โลกมืด" สำหรับหลายคน (ที่นิยมความเจ็บปวดก่อนจะนำมาซึ่งความสุข หรือพูดง่ายๆ ว่าพวกซาดิสต์ มาโคคิสต์) เรื่องนี้จะนำคุณไปรู้จักกับโลกมืดดังกล่าว ว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ก็อย่างที่ Mr. Grey บอกเสมอว่า "we aim to please"

ซึ่งตรงนี้แหละที่โดยส่วนตัวออกจะเป็นห่วง เพราะเสน่ห์ของพระเอกกับวิธีชักนำนางเอกไปสู่โลกแฟนตาซี และสารพัด "kinky fuckery" ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่น่ากลัว ไม่น่ารังเกียจ หรือไม่น่าสยองขนลุกขนพอง และไม่ได้ดูเป็น sexual abuse แต่เป็น a consenting adult relationship เสียจนฉันกลัวใจว่า สาวแรกรุ่นหรือสาวทั่วไปจะโอนอ่อนไปกับมัน รู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง "ธรรมดา" และเต็มใจจะถูกกามวิปริตครอบงำ และนี่แหละที่เป็นประเด็นให้บรรดา feminists ต่างออกมาค้าน และวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนชิ้นนี้กันยกใหญ่

แต่ฉันเชื่อว่า ผู้เขียนไม่ได้มีความตั้งใจที่จะชักชวนผู้อ่านเข้าไปในโลกโลกีย์วิตถารหรอก เพราะในเรื่อง แม่นางเอกใสซื่อ (ที่บางครั้งพฤติกรรมของเธอก็ไม่เหมาะกับคำว่า "ใสซื่อ" สักเท่าไหร่) ก็มีความตั้งใจที่จะดึงพระเอกออกมารับแสงสว่างอยู่บ้าง แม้ตัวเองจะอยากรู้ อยากเห็น อยากลอง อยากตอบแทน และอยากเติมเต็มความต้องการด้านมืดของคนรักก็เถอะ

ฉันชอบคำปรึกษาของจิตแพทย์ในเรื่องที่เน้น solution-focused brief therapy หรือเน้นผลลัพธ์มากกว่าปมปัญหา อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันกับอนาคตสำคัญกว่า และทางออกสำคัญที่สุด ทำยังไงพระเอกถึงจะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ เรียกว่าแก้กันเป็นเปลาะๆ เพื่อช่วยดึงพระเอกออกจากปมมืดในอดีต และเราไม่ควรด่วนตัดสิน ควร give someone a benefit of doubt หรือเปิดใจให้กับเขาก่อน

ในเรื่องยังมีมุขขำๆ น่ารักๆ เรียกรอยยิ้มบนมุมปากอยู่เป็นระยะ ถ้าตัดเรื่องอย่างว่าออกไป ก็ถือว่าเป็นนิยายรักหวานชวนฝันเรื่องหนึ่ง แต่อย่างว่าล่ะค่ะ ถ้าตัดเรื่องเซ็กส์โจ๋งครึ่มออกไป นวนิยายสามเล่มพันกว่าหน้านี่คงเหลือไม่เกินสองร้อยหน้าแน่ ไม่ต้องยืดยาวเป็นไตรภาคเลยด้วย!

ก่อนจบ ขอฝากประโยคที่แม่นางเอกพูดได้ถูกใจ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ ผู้ชายจะเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า "Men aren't really complicated. They are very simple, literal creatures. They usually mean what they say. And we, women, spend hours trying to analyze what they've said." เพราะผู้หญิงอย่างเราดูจะคิดมากเกินไปจริงๆ

ใครใคร่อ่านก็ลองไปหาดูนะคะ ที่คิโนะคุนิยะตั้งเป็นกองเบ้อเร่ออยู่หน้าร้าน แต่อย่างที่บอก โรมานซ์ชุดนี้สมควรติดเรท "ฉ 20+" ขนาดฝรั่งยังบอกว่าเป็น "porn-fiction" เลย โอ...ไม่อยากจะคิดว่าหนังจะทำออกมาแรงแค่ไหน...บร๊ะเจ้า...

Laters, baby.

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

wonton vs wanton

เมื่อเช้าแวะซื้อบะหมี่เกี๊ยว สังเกตเห็นเขาตั้งชื่อร้านว่า "วันทัน" ทำให้นึกถึงคำนี้ในภาษาอังกฤษ คำว่า wonton เป็นคำที่ฝรั่งใช้เรียกเกี๊ยวจีน พบเห็นได้ทั่วไปตามเมนูอาหารฮ่องกง แต่ "won" ต้องสะกดด้วย "o" นะ ถ้าสะกดด้วย "a" เมื่อไหร่ล่ะเป็นเรื่อง

เพราะคำว่า "wanton" คำพ้องเสียงแต่ต่างตัวสะกด ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเป็นฟ้ากับเหว คำว่า wanton "a" สะกด หมายถึง นางกลางเมือง หรือหญิงสำส่อนก็ว่าได้

Good reading for kids

Help your kids discover the joy of reading, below are 25 books recommended for children at age between 8-11 years. And my lovely "Min Li" of "Where the Mountain Meets the Moon" is one of them! You can find my Thai version at any bookstores. :)

1) The Mostly True Story of Jack - Kelly Barnhill
2) Frogs - Nic Bishop
3) The Magician's Elephant - Kate DiCamillo
4) The City of Ember - Jeanne DuPrau
5) A Tale Dark and Grimm - Adam Gidwitz
6) Just Grace - Charise Mericle Harper
7) Turtle in Paradise - Jennifer L. Holm
8) The Phantom Tollbooth - Norton Juster
9) Henry's Freedom Box: A True Story from the Underground Railroad - Ellen Levine
10) Where the Mountain Meets the Moon - Grace Lin

See the other 15 books, click here

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เปลี่ยน

หลังจากน้ำท่วมปีที่แล้ว ได้มีโอกาสทำสิ่งเล็กน้อยช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ทำให้รู้จักกับเพื่อนใหม่เยอะขึ้น ได้ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น รู้สึกเลยว่าชีวิตตัวเองเปลี่ยนไป เมื่อก่อนกิจกรรมเพื่อตัวเองเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ "เลือก" ที่จะทำงานที่สนุกและเกิดประโยชน์ แน่นอนว่าต้องถูกจริตด้วย บางคนมองว่า เราเป็นเจ้าแม่กิจกรรม แต่จริงๆ แล้วในสังคมก ว้าง ยังมีคนไทยใจดีอยู่มาก เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ตัวจริงมีอีกเยอะ ดีใจที่เปิดโลกใหม่ให้ตัวเอง แค่หวังว่าเพื่อนๆ จะสละเวลามาร่วมวงด้วย จะได้เห็นเมืองไทยในมุมที่น่าอยู่ขึ้น :)

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

lipstick

ปกติเวลาเห็นคำว่า wear เรามักจะนึกถึงเสื้อผ้า เพราะเราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่า to wear = สวมใส่ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ใช้กับคำกิริยาคำนี้ และคำที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงคือ lipstick

เวลาทาลิปสติก ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า wear lipstick เช่น Do you think it's ok to wear bright red lipstick on a casual day? หรือ I don't wear red lipstick. It's not my color.

คำว่า lipstick ในภาษาจีนน่าสนใจมาก ภาษาจีนเรียกว่า 口红 (kǒuhóng) คำว่า 口 (kǒu) คือปาก 红 (hóng) คือสีแดง จำง่ายๆ ว่าปากแดงๆ เพราะทาลิปสติกนั่นแหละค่ะ และคำว่าทาลิปสติก ภาษาจีนเรียกว่า 抹口红 (mǒ kǒuhóng)

ลิปสติกใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณ ราวห้าพันปีแล้วเห็นจะได้ แม้หลายคนจะเชื่อว่า จีนเป็นชาติแรกที่คิดค้นเครื่องสำอาง แต่ไม่มีหลักฐานทางวัตถุยืนยันเด่นชัด นักโบราณคดีเลยต้องยกเีครดิตให้กับชาวอียิปต์ไปซะ

นอกจากนั้น ในภาษาอังกฤษยังมีการใช้ลิปสติกเพื่อแฝงนัยไว้ด้วย เช่น "Found lipstick on his collar" แหม ถ้าขืนเจอรอยลิปสติกบนปกเสื้อคุณสามีล่ะก็ แสดงว่าเขาต้องแอบไปมีอีหนูแน่ จริงมั้ยล่ะคะ

แถมให้อีกคำปิดท้าย "lipstick on a pig" เป็นแสลงเหน็บแนมคนที่แต่งตัวฉูดฉาด คิดว่าจะทำให้สวยขึ้น แต่ก็ยังคงน่าเกลียดอยู่ดี ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปรียบกับน้องหมูด้วย อู๊ดดี้ออกจะน่ารัก ;-(

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

งกบุญ

เมื่อวานได้มีโอกาสไปร่วมช่วยโรงทานในงานสมโภชพระพุทธพิทักษไทยทศทิศ ที่ประชาชนผู้รักชาติได้ร่วมกันสร้าง จำนวน 84 องค์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย 3 เสร็จแล้วก็ได้ร่วมถวายหมวกไหมพรมให้กับพระอาจารย์ในงานด้วย

ตอนที่ถวาย ฉันอาจจะทำบาปมากกว่าทำบุญ เพราะพระอาจารย์ที่ฉันนำหมวกไปถวาย ดูจะไม่ไยดีรับสักเท่าไหร่ ท่านผายมือเหมือนให้ไปถวายท่านอื่น แต่ด้วยความที่พวกเราตระเตรียมหมวกมาถวายให้พระครบทุกรูป ฉันจึงไม่ลุกไปไหน พระอาจารย์เหมือนจำใจต้องรับหมวกอย่างเสียไม่ได้ โดยส่วนตัว ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจอะไรทั้งนั้น แค่เกิดความคิดขึ้นชั่วแวบในใจว่า การให้ของที่ผู้รับไม่ต้องการคงไม่มีประโยชน์

สักครู่ หลวงปู่ก็นำสวด พอดีพวกเราเพิ่งถวายหมวกเสร็จ เลยต้องนั่งอยู่กับที่ตรงนั้น ไม่ทันได้ลุกไปไหน เสร็์จแล้วหลวงปู่ก็จะลุกเดินรดน้ำมนต์ให้บรรดาผู้ที่มาร่วมงาน ฉันได้ยินผู้หญิงทางด้านหลังพูดโพล่งขึ้นมาประมาณว่า ทางที่พวกเรานั่งนั้น เขากันไว้เป็นทางเดิน ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมานั่งกันเลย

ได้ยินเธอกับเพื่อนพูดอยู่หลายครั้ง เลยหันไปอธิบายว่า พวกเราเพิ่งถวายหมวก ไม่ได้คิดจะแย่งที่ แต่เหมือนคำอธิบายของฉันจะฟังไม่ขึ้น เพราะเธอดูจะยังไม่พอใจเท่าไหร่ ฉันก็พยายามเขยิบมาอยู่แถวเดียวกับเธอ ไม่ได้คิดอยากเป็นผู้หญิงแถวหน้าเลยจริงๆ

ระหว่างที่หลวงปู่เดินรดน้ำมนต์ สานุศิษย์ด้านหน้าก็พากันตะโกน "หลวงปู่ หลวงปู่" ฉันก็ทะลึ่งดันไปนึกถึงแฟนคลับนักร้องเกาหลี ช่างเหมือนกันยังไงยังงั้น

พูดกันตามตรง ฉันไม่รู้จักพระเกจิอาจารย์เท่าไหร่หรอก นอกจากพระอาจารย์ที่เคยออกสื่ออย่างท่าน ว.วชิรเมธี พระมิตซูโอะ พระไพศาล พระอาจารย์ปราโมทย์ ฯลฯ ถ้าเป็นพระเกจิ ฉันคงรู้จักแต่หลวงปู่แหวน หลวงพ่อโต ที่เคยเห็นตามปฏิทินตั้งแต่เด็ก หลวงปู่ที่เป็นประธานในงานเมื่อวานเป็นใคร จากวัดไหน สารภาพตามตรงว่าฉันไม่รู้ แต่ดูจากจำนวนลูกศิษย์ที่มาร่วมงาน ท่านคงเป็นพระเกจิดังอยู่

ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่า พวกนี้เป็นพวก "งกบุญ" ฉันเพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก แปลกดี คนบางคนเข้าวัดทำบุญทำทานมาก แต่กลับไม่มีความเมตตา เหมือนกายเข้าวัด แต่ใจไม่เข้าถึงธรรม

ตัวฉันเองไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่ดีนักหรอก ไม่ค่อยได้ตักบาตรทำบุญ ไม่ค่อยสวดมนต์ ไม่ค่อยเข้าวัดวาฟังเทศน์ฟังธรรม เวลาไปทำบุญก็ไม่ค่อยอธิษฐาน หรือแผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่นสักเท่าไหร่ ถวายสังฆทานยังนำสวดเองไม่เป็นเลย

บางตำราบอก ถ้าทำบุญไม่ถูกวิธีก็จะไม่ได้บุญ สำหรับตัวฉันนั้นเฉยๆ ฉันถือว่าทำแล้วสบายใจก็พอ จิตใจร่มเย็นก็เป็นสุขแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะต้องตักตวงบุญไว้เป็นเสบียงเลี้ยงตัว

ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ทำไมบางนิกายถึงมีการคิดคะแนนบุญ เพราะในโลกนี้ยังมีคนงกบุญนี่เอง

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Marriage Clinic: Love & War Season 2

Marriage Clinic: Love & War Season 2 ทางช่อง KBS เป็นละครเกาหลีสะท้อนปัญหาชีวิตคู่ในปัจจุบัน ที่ต้องบอกว่าผูกเรื่องได้ร้ายกาจมาก (โชคดีที่ subtitle ภาษาอังกฤษ)

ตอนที่ดูวันนี้เป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งคู่แต่งงานกันมาหกปี ฝ่ายชายเป็นศัลยแพทย์ ฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีนี ชีวิตแต่งงานออกจะราบเรียบจนถึงขั้นน่าเบื่อ เพราะสามีเอาแต่ทำงาน ปล่อยให้ภรรยาเหงาใจอยู่เป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง หญิงสาวเจอชายหนุ่มรูปหล่อเอาใจเก่งมาเติมเต็มชีวิตจืดชืด ทั้งคู่ลักลอบพบกันยามค่ำคืน โดยเธอแอบวางยานอนหลับสามีเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวกับแฟนใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งสามีได้รับจดหมายจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ในนั้นมีภาพถ่ายระเริงรักของภรรยากับชายชู้

ถึงสามีจะจับได้ แต่เขายังให้อภัยภรรยา ชีวิตคู่เหมือนจะกลับมาเป็นปกติ แต่ภรรยายังไม่อาจลืมชายชู้ จึงตัดสินใจไปหาเขาอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่พบคือ ชายที่เธอคิดว่าเป็นเทพบุตรมาฉุดเธอจากชีวิตเส็งเคร็ง กลับเป็นแค่คนโสโครกที่รับจ้างมาล่อลวงเธอ โดยมีเป้าหมายให้เธอกับสามีหย่าขาดจากกันเท่านั้น

คนว่าจ้างไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือผู้หญิงอีกคนของสามีเธอ พวกเขาคบกันตั้งแต่มหาวิทยาลัย ฝ่ายหญิงส่งเสียให้ผู้ชายเรียนจนจบหมอ อยู่กินกันมานานถึงสิบปี และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน พอลูกชายอายุย่างเจ็ดขวบ และกำลังจะเข้าโรงเรียน ฝ่ายหญิงจึงไม่อาจทนรอให้ชีวิตครอบครัวเธอคาราคาซังแบบนี้ เธออยากให้เขาหย่ากับภรรยา และทำหน้าที่พ่อเต็มเวลาให้กับลูกชายสุดที่รัก

แต่ศัลยแพทย์หนุ่มไม่เคยมีความคิดที่จะหย่าขาดกับภรรยาเศรษฐี เขาเลือกที่จะทิ้งลูกเมียที่อยู่กินกันมานานเพื่อชีวิตที่มั่นคงกว่า รวมถึงมรดกกองโตที่ภรรยาจะได้รับในอนาคตด้วย

แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เมื่อผลตรวจครรภ์มาถึง ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่พ่อของเด็กในท้อง เขาอยากให้ภรรยาเอาเด็กออก แต่ภรรยาไม่ยอม เธอแค่ต้องการผู้ชายที่มีหน้ามีตามาเป็นพ่อในนามของลูก เธอไม่สนว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกเขาหรือลูกชู้ เพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะมีลูกได้

ศัลยแพทย์เหมือนตกอยู่ในวังวน ลูกตัวเองจริงๆ ก็ทิ้งไปแล้ว และต้องเป็นพ่อของเด็กที่อาจจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จะหย่า ภรรยาก็ไม่ยอม เพราะเธออ้างว่าเขาเลือกที่จะทิ้งฝ่ายนั้นเอง

ตอนท้ายของละคร จะมีจิตแพทย์กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญปัญหาครอบครัวมาถกกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำแนะนำและวิธีไขปัญหา รวมถึงการจัดการด้านกฎหมายด้วย เผื่อคนดูประสบปัญหาแบบเดียวกับในละครจะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้กับชีวิต เรียกว่าเป็นละครที่มีสาระนะ :)