วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Choose to be...

แรงเหลือเกินกับกระแสข้อความล่าสุดของ ดร หนุ่มรูปหล่อแฟนสวย ที่จริงข้อความที่เขาโพสต์ก็ไม่ได้ใหม่แกะกล่องจากสมองด๊อกเตอร์ แต่เป็นโพสต์ที่แชร์กันเกลื่อน บังเอิญเฮียมาโพสต์ตอนมีเรื่องอื้อฉาวพอดี เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็เลยเป็นเรื่อง

"On the internet you can be anything you want. It's strange that so many people choose to be stupid."

ข้อความนี้เขามีไว้แซวกันขำๆ มากกว่า เพราะบางคนก็ขยันทำเรื่องโง่เง่าออกสื่อ ปกติแล้วคนเรามักชอบใจเวลาได้ยินคำชม และหงุดหงิดเวลาถูกตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์

ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มักหันด้านที่สวยงามให้คนอื่นเห็น คุณอยากให้ใครมองคุณอย่างไร ก็หันด้านนั้นให้เขาเห็น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ และไม่น่ารังเกียจเลยสักนิด

ที่น่ารังเกียจคือ พวกที่เก็บกดและชอบแสดงความหยาบกร้านกร่างซ่าส์บนโลกไซเบอร์มากกว่า ที่บางคนเรียก "นักเลงคีย์บอร์ด" คิดจะพิมพ์อะไรก็พิมพ์ไป จริงเท็จไม่รู้ เอามันส์เข้าว่า จะสบถด่าหลุดถ้อยคำผรุสวาท ฟักแฟงแตงโม-เหี้ยห่าสารพัดสัตว์ ก็จัดไปเต็มที่ ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบการกระทำของตัว และไม่สนใจว่าใครอื่นจะเสียหาย คนจำพวกนี้ต่างหากที่น่ารังเกียจ

เลยชักสงสัยว่า On the internet you can be anything you want, why choose to be rude and ugly?

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Blue Moon

วันก่อนเสนอคำว่า "White Lie" ไปแล้ว และเซ็งทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า "โกหกสีขาว" วันนี้เลยนึกถึงปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นวันนี้ วันที่ 31 สิงหา ที่เรียกว่า "Blue Moon" หรือพระจันทร์สีน้ำเงิน แต่อย่าคิดว่าพระจันทร์จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินเชียวนะคะ ไม่มีทาง! ที่มันได้ชื่ออย่างนั้นก็เพราะ ฝรั่งตั้งชื่อให้มันต่างจากวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง หรือ Full Moon ปกติเท่านั้นเอง

โดยส่วนใหญ่แล้ว ปีหนึ่งจะมีวันพระจันทร์เต็มดวง 12 ครั้ง เฉลี่ยเดือนละครั้ง แต่นานๆ ทีจะมีบางเดือนที่พระจันทร์จะเต็มดวงสองครั้ง และวันที่แถมขึ้นมานั่นล่ะค่ะที่เรียกว่า blue moon

แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันจะเกิดปรากฏการณ์นี้เมื่อไหร่ เรื่องแบบนี้พวกนักดาราศาสตร์เขาคำนวณกันได้ค่ะ เพราะพระจันทร์จะเต็มดวงทุกๆ 29.53059 วัน และทุกหนึ่งร้อยปี (1200 เดือน) จะมีพระจันทร์เต็มดวง 1236.83 ครั้ง ถือเป็น blue moon 36.83 ครั้ง หรือพูดง่ายๆ ว่าทุก 2.72 ปีเกิดที

แถมเท่กว่านั้นคือ ทุก 19 ปีจะมีการเกิดบลูมูนปีละ 2 ครั้ง Blue Moon ที่เกิดซ้อนกันในหนึ่งปี เขาเรียกว่า Double Blue Moons (จำง่ายดีเนอะ) ล่าสุดเกิดไปแล้วเมื่อปี 2542 +19 เข้าไป คราวต่อไปก็ 2561 อีกแค่หกปีเอง

แต่ก่อนจะถึง Double Blue Moons ในอีกหกปีข้างหน้า เรากลับมาที่ Blue Moon กันก่อน เพราะวันนี้ล่ะค่ะ (31/8/2012) เราจะได้เห็นวันเพ็ญรอบสองของเดือนสิงหาคม ที่คาดว่าจะเต็มดวงเต็มที่เวลา 20.57 น. คืนนี้ก็อย่าลืมเงยหน้าชมจันทร์กันหน่อยนะคะ

ด้วยความที่มันเป็นสิ่งที่นานๆ เกิดขึ้นที เขาถึงมีสำนวนภาษาอังกฤษว่า "once in a blue moon" เพื่อสื่อให้เห็นสิ่งที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักที (แต่ไม่รู้ว่าถ้าหายากๆๆๆๆๆๆๆๆ จะใช้คำว่า once in double blue moons หรือเปล่า อุอุ) แต่ยังไงก็เถอะ ถึงบางสิ่งจะเกิดขึ้นยากเย็นเต็มที แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ จริงมั้ยคะ

ปิดท้ายที่คำไทยของคำว่า Blue Moon ค่ะ ถ้าแปลเป็นไทยตรงตัวจะเรียกว่าพระจันทร์สีน้ำเงิน แต่ราชบัณฑิตยสถานของเรา (หรือเปล่าไม่แน่ใจ) ก็ช่างสรรหาคำมาบัญญัติให้เราต้องแปลไทยเป็นไทยสองสามตลบทุกที คำทางการของปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "ทุติยเพ็ญ" เดาว่าคงมาจาก ทุติย (ที่สอง) + (วัน) เพ็ญ ก็ถือว่าตรงกับความหมายของปรากฏการณ์มากทีเดียว แต่เวลาคนทั่วไปได้ยินจะเข้าใจมั้ยเนี่ย อิอิ

ปล. อย่าลืมแหงนหน้าชมจันทร์คืนนี้กันนะคะ ^ ^

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

White Lie or Big Fat Liar

การโกหกเล็กน้อยเพื่อรักษาน้ำใจ หรือเพราะไม่อยากให้ใครเจ็บปวด หรือไม่คิดว่าจะทำร้ายใคร แบบนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า White Lies แต่ถ้าเราโกหกเล็กน้อยแบบนี้บ่อยๆ มันจะชินเป็นนิสัย และเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ยังไงโกหกก็คือโกหก การพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวก็ถือว่าโกหกเหมือนกัน อย่างที่ Austin O'Malley เคยกล่าวไว้ "Those who think it is permissible to tell white lies soon grow color-blind."

บางคนก็พลิกแพลงเป็น black lie เพื่อสื่อถึงการโกหกอย่างร้ายกาจ แต่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก ยังมีคำว่า red line ด้วยค่ะ แต่คำนี้มักใช้เวลาโกหกเพื่อตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายก็รู้ว่่าเราโกหก เหมือนในเนื้อเพลง red line to me, tell yourself it's over โกหกไปเถอะว่าเราจบกันแล้ว อืม...จะเรียกว่าโกหกให้ตัวเองสบายใจ หรือเข้าข่ายหลอกตัวเองก็น่าจะได้นะ

แต่พวกโกหกหน้าด้าน โกหกคำโต โกหกหน้าตาย พวกนี้คือ "big fat liar"

Fifty Shades of Grey

50 Shades of Grey ที่ไม่ขาว ไม่ดำ โลกสีเทาที่หลากเฉดหลายมุม นวนิยายที่สมควรติดเรท "ฉ 20+" ปั่นกระแสแรง จนขึ้นแท่นไตรภาคที่ "สุดแสนร้อนแรงแห่งยุค" และได้รับคำวิจารณ์กระจาย ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ แต่ไม่ว่าใครจะพูดยังไง หนังสือสุดฉาวเล่มนี้ก็ทำให้นักเขียนโนเนมอย่าง E.L.James แจ้งเกิดในวงการได้ชั่วข้ามคืน คิดดูว่ากระแสแรงไม่แรง ขนาดฮอลีวูดยังซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ขนาดใครจะแสดงเป็นใครยังได้รับการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ไม่เชื่อลองถามอากู๋ดูก็ได้

ฉันได้ยินชื่อหนังสือเป็นครั้งแรกตอนที่เพื่อนสาวจากแดนไกลส่งข้อความมาถามว่า อ่าน "Fifty Shades of Grey" แล้วหรือยัง ฟังจากชื่อก็น่าสนใจดี และชวนให้นึกถึงนิยายอินเดีย "100 Shades of White" (ISBN: 978-0007143467) เพื่อนบอกจะเอาเล่มแรกมาให้ลองอ่าน แถมตบท้ายว่า "ขนาดแม่บ้านที่นี่ (อังกฤษ) ไปช้อปปิ้ง ยังลืมซื้อผ้าอ้อมลูก เพราะมัวแต่หอบสามเล่มนี้กลับบ้าน" อูว...ถึงขนาดลืมลูกกันเลยเหรอ ฮา

ฉันเลยมาปรึกษาอากู๋ถึงเห็นว่า นิยายไตรภาคชุดนี้ช่างฮอตและร้อนแรงแค่ไหนบนโลกไซเบอร์ เรียกว่าเป็นโรมานซ์อื้อฉาวแห่งยุค แต่มาสะดุดตรงที่เขาบอกว่า พระเอกมีรสนิยมค่อนไปทาง BDSM นี่แหละ โอ้แม่เจ้า จะไหวเหรอ? คำถามแรกผุดขึ้นในใจทันที

แต่พอได้อ่านจริงกลับรู้สึกอีกอย่าง ต้องบอกว่าเห็นด้วยกับนักวิจารณ์ที่ว่า ผู้เขียนไม่ได้เน้นภาษาสวยๆ หรือเทคนิคการเล่าเรื่องตามทฤษฎีการเขียนนวนิยายเลย ออกจะใช้ภาษาบ้านๆ ด้วยซ้ำ คำสบถก็มากมาย f-word ก็เพียบ แถมยัย angle voice ก็ชวนรำคาญตลอดทั้งเรื่อง (เหมือนนางเอกพูดหรือค้านกับตัวเองในใจ) พลอตพอจะเดาได้ แต่มีบางจุดที่เนื้อเรื่องพลิกผันเรียกความสนใจได้เป็นระยะ

ทว่าหนังสือเล่มนี้กลับโดนใจผู้อ่าน (เชื่อว่าโดยเฉพาะสตรีเพศ) ยอดขายถล่มทะลาย ทั้งที่เนื้อหาก็ไม่ต่างจากนวนิยายรักทั่วไป ที่พระเอกมหาเศรษฐีหนุ่มจะมาหลงรักนางเอกใสซื่อบริสุทธ์ ทว่าพระเอกในเรื่องเป็นยิ่งกว่าชายในฝัน ที่เบียดทั้ง Mr. Darcy (หนุ่มในฝันของสาวกเจน ออสติน) หรือ Mr. Big จาก Sex in the City ตกขอบไปเลย

Mr. Grey พ่อ 50 shades ของเราทั้งหล่อล่ำกล้ามบึก รวยล้นฟ้า ชนิดที่สามารถ "lay a world at your feet" แววตาชวนสะกด รอยยิ้มสุดจะกระชากใจ และยังขี้หึงขี้หวงสุดๆ ที่สำคัญ ลีลารักยังดุเด็ดเผ็ดมัน เรียกว่าเป็น dream sex fantasy สำหรับสาวๆ เลยทีเดียว กำลังวังชาไม่มีตก จนนึกว่ากินไวอากร้าแทนข้าว ฉากเร่าร้อนระหว่างคู่พระนางก็บรรยายซะถึงพริกถึงขิงตลอดทั้งเล่ม สปาร์กก็ง่าย แถมยัง "explosive’ orgasms" กันได้ทุกที่ทุกเวลาและทุก surface!

เพื่อนบอกว่า โรมานซ์อื้อฉาวนี้ถึงกลับทำให้ชีวิตรักของบางคู่ดีขึ้น "อย่างเห็นได้ชัด" (เรียกว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป) แต่นั่นเป็นตัวดึงดูดให้คนหลงใหลไตรภาคชุดนี้เหรอ สำหรับฉันคิดว่า สิ่งที่ทำให้ 50 Shades โดนใจตรงที่มันเปิดอีกโลกทัศน์หนึ่งให้ผู้อ่านได้สัมผัสมากกว่า เพราะถ้าเป็นเซ็กซ์ซีนทั่วไป หรือที่ในเรื่องเรียก vanilla sex ก็คงไม่สร้างกระแสหวือหวาได้ขนาดนี้

อย่างที่บอกแต่ต้น พระเอกมีรสนิยมค่อนไปทาง BDSM ที่อาจเป็น "โลกมืด" สำหรับหลายคน (ที่นิยมความเจ็บปวดก่อนจะนำมาซึ่งความสุข หรือพูดง่ายๆ ว่าพวกซาดิสต์ มาโคคิสต์) เรื่องนี้จะนำคุณไปรู้จักกับโลกมืดดังกล่าว ว่ามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ก็อย่างที่ Mr. Grey บอกเสมอว่า "we aim to please"

ซึ่งตรงนี้แหละที่โดยส่วนตัวออกจะเป็นห่วง เพราะเสน่ห์ของพระเอกกับวิธีชักนำนางเอกไปสู่โลกแฟนตาซี และสารพัด "kinky fuckery" ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่น่ากลัว ไม่น่ารังเกียจ หรือไม่น่าสยองขนลุกขนพอง และไม่ได้ดูเป็น sexual abuse แต่เป็น a consenting adult relationship เสียจนฉันกลัวใจว่า สาวแรกรุ่นหรือสาวทั่วไปจะโอนอ่อนไปกับมัน รู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง "ธรรมดา" และเต็มใจจะถูกกามวิปริตครอบงำ และนี่แหละที่เป็นประเด็นให้บรรดา feminists ต่างออกมาค้าน และวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนชิ้นนี้กันยกใหญ่

แต่ฉันเชื่อว่า ผู้เขียนไม่ได้มีความตั้งใจที่จะชักชวนผู้อ่านเข้าไปในโลกโลกีย์วิตถารหรอก เพราะในเรื่อง แม่นางเอกใสซื่อ (ที่บางครั้งพฤติกรรมของเธอก็ไม่เหมาะกับคำว่า "ใสซื่อ" สักเท่าไหร่) ก็มีความตั้งใจที่จะดึงพระเอกออกมารับแสงสว่างอยู่บ้าง แม้ตัวเองจะอยากรู้ อยากเห็น อยากลอง อยากตอบแทน และอยากเติมเต็มความต้องการด้านมืดของคนรักก็เถอะ

ฉันชอบคำปรึกษาของจิตแพทย์ในเรื่องที่เน้น solution-focused brief therapy หรือเน้นผลลัพธ์มากกว่าปมปัญหา อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันกับอนาคตสำคัญกว่า และทางออกสำคัญที่สุด ทำยังไงพระเอกถึงจะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ เรียกว่าแก้กันเป็นเปลาะๆ เพื่อช่วยดึงพระเอกออกจากปมมืดในอดีต และเราไม่ควรด่วนตัดสิน ควร give someone a benefit of doubt หรือเปิดใจให้กับเขาก่อน

ในเรื่องยังมีมุขขำๆ น่ารักๆ เรียกรอยยิ้มบนมุมปากอยู่เป็นระยะ ถ้าตัดเรื่องอย่างว่าออกไป ก็ถือว่าเป็นนิยายรักหวานชวนฝันเรื่องหนึ่ง แต่อย่างว่าล่ะค่ะ ถ้าตัดเรื่องเซ็กส์โจ๋งครึ่มออกไป นวนิยายสามเล่มพันกว่าหน้านี่คงเหลือไม่เกินสองร้อยหน้าแน่ ไม่ต้องยืดยาวเป็นไตรภาคเลยด้วย!

ก่อนจบ ขอฝากประโยคที่แม่นางเอกพูดได้ถูกใจ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ ผู้ชายจะเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า "Men aren't really complicated. They are very simple, literal creatures. They usually mean what they say. And we, women, spend hours trying to analyze what they've said." เพราะผู้หญิงอย่างเราดูจะคิดมากเกินไปจริงๆ

ใครใคร่อ่านก็ลองไปหาดูนะคะ ที่คิโนะคุนิยะตั้งเป็นกองเบ้อเร่ออยู่หน้าร้าน แต่อย่างที่บอก โรมานซ์ชุดนี้สมควรติดเรท "ฉ 20+" ขนาดฝรั่งยังบอกว่าเป็น "porn-fiction" เลย โอ...ไม่อยากจะคิดว่าหนังจะทำออกมาแรงแค่ไหน...บร๊ะเจ้า...

Laters, baby.

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

wonton vs wanton

เมื่อเช้าแวะซื้อบะหมี่เกี๊ยว สังเกตเห็นเขาตั้งชื่อร้านว่า "วันทัน" ทำให้นึกถึงคำนี้ในภาษาอังกฤษ คำว่า wonton เป็นคำที่ฝรั่งใช้เรียกเกี๊ยวจีน พบเห็นได้ทั่วไปตามเมนูอาหารฮ่องกง แต่ "won" ต้องสะกดด้วย "o" นะ ถ้าสะกดด้วย "a" เมื่อไหร่ล่ะเป็นเรื่อง

เพราะคำว่า "wanton" คำพ้องเสียงแต่ต่างตัวสะกด ทำให้ความหมายเปลี่ยนไปเป็นฟ้ากับเหว คำว่า wanton "a" สะกด หมายถึง นางกลางเมือง หรือหญิงสำส่อนก็ว่าได้

Good reading for kids

Help your kids discover the joy of reading, below are 25 books recommended for children at age between 8-11 years. And my lovely "Min Li" of "Where the Mountain Meets the Moon" is one of them! You can find my Thai version at any bookstores. :)

1) The Mostly True Story of Jack - Kelly Barnhill
2) Frogs - Nic Bishop
3) The Magician's Elephant - Kate DiCamillo
4) The City of Ember - Jeanne DuPrau
5) A Tale Dark and Grimm - Adam Gidwitz
6) Just Grace - Charise Mericle Harper
7) Turtle in Paradise - Jennifer L. Holm
8) The Phantom Tollbooth - Norton Juster
9) Henry's Freedom Box: A True Story from the Underground Railroad - Ellen Levine
10) Where the Mountain Meets the Moon - Grace Lin

See the other 15 books, click here

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เปลี่ยน

หลังจากน้ำท่วมปีที่แล้ว ได้มีโอกาสทำสิ่งเล็กน้อยช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง ทำให้รู้จักกับเพื่อนใหม่เยอะขึ้น ได้ร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น รู้สึกเลยว่าชีวิตตัวเองเปลี่ยนไป เมื่อก่อนกิจกรรมเพื่อตัวเองเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ "เลือก" ที่จะทำงานที่สนุกและเกิดประโยชน์ แน่นอนว่าต้องถูกจริตด้วย บางคนมองว่า เราเป็นเจ้าแม่กิจกรรม แต่จริงๆ แล้วในสังคมก ว้าง ยังมีคนไทยใจดีอยู่มาก เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ตัวจริงมีอีกเยอะ ดีใจที่เปิดโลกใหม่ให้ตัวเอง แค่หวังว่าเพื่อนๆ จะสละเวลามาร่วมวงด้วย จะได้เห็นเมืองไทยในมุมที่น่าอยู่ขึ้น :)

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

lipstick

ปกติเวลาเห็นคำว่า wear เรามักจะนึกถึงเสื้อผ้า เพราะเราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่า to wear = สวมใส่ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ใช้กับคำกิริยาคำนี้ และคำที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงคือ lipstick

เวลาทาลิปสติก ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า wear lipstick เช่น Do you think it's ok to wear bright red lipstick on a casual day? หรือ I don't wear red lipstick. It's not my color.

คำว่า lipstick ในภาษาจีนน่าสนใจมาก ภาษาจีนเรียกว่า 口红 (kǒuhóng) คำว่า 口 (kǒu) คือปาก 红 (hóng) คือสีแดง จำง่ายๆ ว่าปากแดงๆ เพราะทาลิปสติกนั่นแหละค่ะ และคำว่าทาลิปสติก ภาษาจีนเรียกว่า 抹口红 (mǒ kǒuhóng)

ลิปสติกใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณ ราวห้าพันปีแล้วเห็นจะได้ แม้หลายคนจะเชื่อว่า จีนเป็นชาติแรกที่คิดค้นเครื่องสำอาง แต่ไม่มีหลักฐานทางวัตถุยืนยันเด่นชัด นักโบราณคดีเลยต้องยกเีครดิตให้กับชาวอียิปต์ไปซะ

นอกจากนั้น ในภาษาอังกฤษยังมีการใช้ลิปสติกเพื่อแฝงนัยไว้ด้วย เช่น "Found lipstick on his collar" แหม ถ้าขืนเจอรอยลิปสติกบนปกเสื้อคุณสามีล่ะก็ แสดงว่าเขาต้องแอบไปมีอีหนูแน่ จริงมั้ยล่ะคะ

แถมให้อีกคำปิดท้าย "lipstick on a pig" เป็นแสลงเหน็บแนมคนที่แต่งตัวฉูดฉาด คิดว่าจะทำให้สวยขึ้น แต่ก็ยังคงน่าเกลียดอยู่ดี ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเปรียบกับน้องหมูด้วย อู๊ดดี้ออกจะน่ารัก ;-(