วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความสุขคืออะไร

ความสุขคืออะไร

คำถามง่ายๆ แต่ตอบยาก ความสุขของบางคนอาจหมายถึง มีทรัพย์สินเงินทองใช้สอยได้อย่างไม่จำกัด ได้แต่งตัวสวยๆ ออกจากบ้าน ได้ไปช็อปปิ้ง ได้กินอาหารอร่อยๆ ได้สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนๆ ได้อยู่กับคนที่เรารัก

ความสุขของบางคนก็เรียบง่ายกว่า เช่น ได้นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือในบรรยากาศชิลๆ ได้มีข้าวกินครบสามมื้อ ได้ออกไปสูดอากาศดีๆ ในสวน ได้นอนใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ได้เห็นรอยยิ้มของลูก

บางคนสุขใจเมื่อได้แบ่งปัน สุขเมื่อได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข สุขที่เห็นคนในชาติรักกัน เมื่อโลกนึ้สงบสุข หรือเมื่อชีวิตเป็นอิสระ ได้ทำอะไรตามใจตัวโดยไม่เดือดร้อนผู้อื่น

บ้างก็ว่าสุขคือไม่ทุกข์ หรือบางคนอาจคิดไกลไปถึงขั้นได้หลุดพ้น หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย ได้นิพพาน ไม่ต้องกลับชาติมาเกิดอีก

ความสุขของบางคนต้องแสวงหาจากภายนอก
หลายคนบอก ความสุขที่แท้จริงเกิดจากภายใน

ความสุขของแต่ละคนแตกต่างกันไป และเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ ณ ขณะที่ถาม

บางคนบอกความสุขอยู่ที่ใจ สุขทุกข์อยู่ที่มุมมอง หรืออยู่ที่เราเลือกมอง แต่ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข มันคือมายา ทุกข์สุขล้วนอยู่ไม่นาน คนจนก็สุขแบบคนจน คนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย

ขอแค่เราสุขให้เป็น ทุกข์ให้เป็น สุขได้แต่อย่าหลงสุข ทุกข์ก็อย่าจมทุกข์ก็พอ

แล้วความสุขของคุณล่ะ...คืออะไร

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รักนะ แต่...เซ็นเถอะ

หลายคนมองว่า การแต่งงานของอภิมหาเศรษฐี Facebook หลังประกาศ IPO หุ้น (FB.O) เป็นอีกก้าวที่ชาญฉลาดในแง่ของกฎหมาย ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเรื่องราวความรักยาวนานกว่าเก้าปีของ Mr. & Mrs. Facebook สักเท่าไหร่ คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัว (สารภาพว่ารวมถึงฉันด้วย) คือ พวกเขาทำสัญญาก่อนแต่งกัีนหรือเปล่า

สัญญาก่อนแต่ง (prenuptial agreement) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า prenup ดูจะเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นมากของเหล่าผู้มีอันจะกินในอเมริกา และเป็นเรื่องที่คนอเมริกันให้ความสนใจมากกว่าความเป็นมาของความรัก (ที่คงไม่ต่างจากบ้านเราที่ให้ความสนใจกับเรื่องสินสอดเท่าไหร่หรอก) โดยเฉพาะในแคลิฟอร์เนีย เพราะรัฐนี้มีกฎหมายสินสมรสที่เรียกว่าโหดขั้นเทพ เพราะหากเกิดการหย่าร้างกันเมื่อไหร่ สมบัติทั้งหมดจะถูกหารสองทันที!

แคลิฟอร์เนีย ดินแดนแห่งฮอลลีวูด ดินแดนแห่งการแจ้งเกิด แหล่งขุดทองในฝันของหนุ่มสาว ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่ารักง่าย หน่ายเร็ว และครองสถิติอัตราการหย่าร้างสูงถึง 75% ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ใครๆ จะคาดเดาล่วงหน้าเลยว่า การแต่งงาน (โดยเฉพาะของคนดัง) อาจไปไม่รอด ไม่กี่ปีก็ต้องลงเอยด้วยการหย่าร้าง

และปัญหาใหญ่ที่จะตามมาคือ การแบ่งสมบัติ ที่มักจบลงด้วยการตกเป็นข่าวอื้อฉาวตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ เน่ายิ่งกว่าละครดราม่า ทนายความจึงมักบอกให้ฝ่ายที่ฐานะดีกว่า หรือหาเงินได้มากกว่า ทำสัญญา prenup จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวชีช้ำทีหลัง ดูอย่างบิล เกตต์ ที่ตอนแรกยืนยันหนักแน่นว่า ยังไงก็ไม่ทำ prenup รักกันอย่างโน้น เชื่อใจกันอย่างนี้ แต่สุดท้าย เจอทนายและคนรอบข้างกรอกหูทุกวัน จนในที่สุดก็ต้องทำ

บางคนอาจมองว่า การทำสัญญาก่อนแต่ง ดูจะไม่เชื่อใจกัน ไม่มีศรัทธาในความรัก มองแบบนั้นฉันว่า มันใสซื่อเกินไป อย่าลืมว่า โลกนี้มีคนอีกมากมายที่ไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก ทว่าแต่งเพราะความจำเป็น เพราะธุรกิจ เพราะอยากตกถังข้าวสาร ก็ลองนึกถึงทรัพย์สมบัติกว่าสองพันล้านที่มาร์กต้องแบ่งกับเมียหากหย่าร้างกันขึ้นมาจริงๆ สิ!

บางคนยังถึงขั้นคำนวณล่วงหน้าด้วยซ้ำว่า เลิกแล้วจะได้เท่าไหร่ คุ้มค่ากับที่จะเสียตัวมั้ย โลกโหดร้ายได้ขนาดนี้จริงๆ นะ โดยเฉพาะยุคที่เงินคือพระเจ้า Money talks. เชื่อเถอะ เพราะฉันเคยแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ในนั้นบอกว่า prenup เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้คุณรวยทางลัด "Get Rich Quick" ฝรั่งบรรยายละเอียดเลยว่า ควรแต่งรัฐไหน หย่ารัฐไหน แถมระบุวิธีคำนวณด้วยว่า แต่งกี่ปีควรได้เท่าไหร่ถึงจะคุ้ม!

ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาพวกนี้ พวกเศรษฐีถึงต้องทำสัญญา prenup หรือไม่ก็คบกันไปโดยไม่ต้องแต่ง ดูอย่างเจ้าแม่ทอล์คโชว์ อภิมหาเศรษฐีนี คุณนายโอปราห์สิ คบกับ Stedman Graham มาตั้งยี่สิบกว่าปี ก็ยังไม่เลือกที่จะแต่งงานกันเลย

ยามรักก็ว่าหวาน แต่พอรักจืดจาง ความร้ายกาจก็ปรากฏ เงินทองไม่เข้าใครออกใคร ป้องกันไว้ก่อน ดีกว่ามาชอกช้ำกระอักเลือดกันภายหลัง

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"Laowai" ไม่ใช่พระเจ้า

CCTV on the hunt for illegal laowai: "Get rid of foreign scum, target Sanlitun and Wudaokou"

คำว่า laowai (老外) หมายถึง foreigner ซึ่งส่วนใหญ่จะหมายถึงชาวตะวันตก ส่วน 三里屯 (Sanlitun) กับ 五道口 ( Wudaokou) เป็นย่านที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เยอะ

รัฐบาลจีนออกมาเตือนว่า จะกำจัดชาวต่างชาติที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ที่ทำตัวระราน รังแกสาวจีน แต่น่าแปลกที่มีกระแสต่อต้าน เพราะมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เป็นการคุกคามชาวตะวันตก

ปวดหัวกับคนมีตรรกะแบบนี้จริงๆ ถ้าเป็นคนเลว จะชนชาติไหนก็ควรจัดการทั้งนั้น ถ้าพี่สาวหรือน้องสาวตัวเองตกเป็นเหยื่อ อยากรู้ว่าจะออกมาค้านมั้ย เฮ้อ...

ธรรมะกับงานครัว

ฉันเคยคิดว่า การศึกษาธรรมสามารถทำได้ด้วยการอ่านและทำความเข้าใจ แต่ฟังจากกูรูผู้รู้หลายคนแล้ว ทุกท่านต่างยืนยันว่า เราไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ด้วยการอ่าน หรือทำความเข้าใจกับพระธรรมคำสอนเพียงอย่างเดียว พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ "คิด" แต่สอนให้ "สังเกตรู้" สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ ซึ่งลำพังการอ่านเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้ ต้องลงมือปฏิบัติถึงจะ "เข้าถึง" ประสบการณ์ตรงเท่านั้นที่จะบอกเราได้

ทำให้นึกไปถึงงานครัว เราอาจรู้จักอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกอย่าง รู้จักเครื่องปรุงทุกชนิด ศึกษาสูตรอาหารมากมายจนแทบจำได้ขึ้นใจว่า เมนูไหนต้องใช้อะไรยังไงเท่าไหร่ ต้องปรุงยังไง ใช้เวลาแค่ไหน ฯลฯ แต่หากเราไม่เคยเข้าครัวลงมือทำจริงๆ แล้ว เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า อาหารจานนั้นจะออกมากินได้และอร่อยหรือเปล่า

การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน เราอาจศึกษาเรียนรู้ธรรมะเรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่องได้หมด ยกมาได้เป็นบทๆ แต่หากไม่มีการนำมาประยุกต์ใช้ เราคงยืนยันไม่ได้เต็มร้อยว่า มันเป็นเช่นนั้น หรือเป็นอย่างที่เราคิดจริงหรือเปล่า

การปฏิบัติธรรมไม่ได้หมายถึงว่า คุณจะต้องนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิ เดินจงกลม ถือศีลห้า ศีลแปด ไม่ต้องไปเข้าคอร์ส 7 วัน 10 วันอย่างที่ในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย เพราะธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือวิถี ธรรมะคือ The Way of Life ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมหมายถึง การนำพระธรรมคำสอนมาใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งทางกาย วาจา ใจ

อาหารจานเดียวกัน สูตรเดียวกัน ใช้เครื่องปรุงเหมือนกัน วิธีการปรุงแบบเดียวกัน แต่แม่ครัวแต่ละคนอาจประกอบหรือปรุงออกมาได้รสต่างกันก็ได้ ธรรมะก็เช่นกัน ทุกคนรู้จักไตรลักษณ์ รู้จักวิธีวิปัสสนา ศีลห้า ศีลแปด ขันธ์ห้า พรหมวิหารสี่ โอย ท่องได้หมด ทว่าแต่ละคนนำมาปฏิบัติได้ผลเท่ากันมั้ย คำตอบคือไม่ค่ะ

บางคนอาจปฏิบัติแล้วได้ผลเร็ว บางคนอาจปฏิบัติมาเป็นแรมปี แต่ไม่เห็นผลสักที แต่อย่าลืมว่า Practice makes perfect. ยิ่งปฏิบัติมากย่อมก่อให้เกิดความคล่องแคล่วชำนาญ หมั่นฝึกฝนจน "เป็น" ธรรมชาติ

พูดไปก็เหมือนเดิมค่ะ ฉันว่าเรามาเริ่มปฏิบัติกันดีกว่า :)

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จากน้อยหน่า ถึงสารพัดแอปเปิล

วันนี้เห็นน้อยหน่าเนื้อ ลูกบะเร่อเฮิ่มมากๆ น้องสาวอย่างชอบ น้อยหน่านี่ แต่ละภาคก็เรียกแตกต่างกันไปนะคะ ทางอีสานจะเรียกว่า "หมักเขียบ" ทางใต้จะเรียก "ลาหนัง" ส่วนทางเหนือนี่เรียกหลายชื่อหน่อย เช่น มะแน่ มะนอแน่ มะออจ้า หรือพวกเงี้ยวจะเรียกว่า หน่อเกล๊ะแซ โอ..ยากอะ

ส่วนในภาษาอังกฤษ น้อยหน่าก็มีหลายชื่อเหมือนกัน บ้างก็เรียก custard pineapple บ้างก็เรียก sugar apple, sugar pineapple หรือ sweetsop ถึงข้างนอกจะตะปุ่มตะป่ำ แต่ข้างในหอมหวานนะ อิอิ

น้อยหน่ายังมีคู่แฝดด้วยที่เรียกว่า น้อยโหน่ง ผลจะโตกว่า รสก็หวานไม่เท่า แต่ละภาคก็เรียกชื่อต่างกันไปเหมือนกัน เช่น มะโหน่ง น้อยหนัง เป็นต้น ผลไม้ชนิดนี้ภาษาอังกฤษจะเรียกคล้ายกันว่า custard apple แถมยังมีชื่อเก๋ๆ ที่เรียกตามรูปทรงของมันละมั้ง ว่า bullock's heart หรือ ox heart เพราะน้อยโหน่งของฝรั่งจะไม่กลม แต่จะออกเป็นรูปคล้ายหัวใจ นอกจากนี้ยังมีแบบที่เรียวลงมาหน่อย ละม้ายคล้ายมะม่วงแต่มีหนาม (เหมือนหนามกุหลาบ) อันนั้นจะเรียกว่า prickly custard apple

ทั้งน้อยหน่าหรือน้อยโหน่ง เป็นพืชพื้นเมืองของพวกอเมริกากลางค่ะ คาดว่านำเข้าประเทศไทยครั้งแรกตั้งแต่สมัยกรุงศรีฯ แต่ตอนนี้พบได้มากในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เอ แล้วทำไมน้อยหน่าหรือน้อยโหน่งต้องมีคำว่า apple ด้วย เป็นพืชพันธุ์เดียวกันหรือ ไม่เลยค่ะ ไม่ได้เกี่ยวกันเลย แต่ในภาษาอังกฤษ มีผลไม้หลายชนิดที่มีคำว่า apple อยู่ในชื่อด้วย มาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

เริ่มจากที่รู้จักกันดี นั่นคือ pineapple สัปปะรด apple guava ฝรั่ง แต่เดี๋ยวนี้จะใช้เรียกฝรั่งที่ผลเป็นสีแดงมากกว่า ฝรั่งธรรมดา ก็เหลือแค่ guava เฉยๆ ไหนจะมี star apple ผลไม้รูปดาว นึกถึงอะไรกันคะ ติ๊กตอกๆ ใช่แล้ว มะเฟืองไงล่ะ

ส่วน rose apple หรือชมพู่ บางที่จะเรียกว่า water apple หรือ wax apple ชมพู่ยังมีคู่แฝดที่เราเรียกว่า ชมพู่มะเหมี่ยว อันนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Malay apple ค่ะ สันนิษฐานว่าคงเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในมาเลเซียค่ะ

นอกจากมาเลย์แล้วยังมีจีนด้วยนะ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดแต่อย่างใด Chinese apple ที่ในบ้านเราอาจจะคุ้นกับคำว่า pomegranate มากกว่า ใช่แล้วค่ะ ทับทิมนั่นเอง

ผลไม้อีกอย่างที่มีสรรพคุณมากมาย stone apple หรือ wood apple หรือบางคนก็เรียกตามภาษาฝรั่งเศสว่า Bael ผลไม้เปลือกแข็งนี้ก็คือ มะตูม ค่ะ

ปิดท้ายด้วย ice apple ค่ะ ผลลูกตาล แต่อย่าสับสนกับ iced apple tea นะ เพราะถ้า ice เติม ed (แน่ละว่า ee สองตัว ต้องตัดทิ้งหนึ่ง) หมายถึงทำให้เย็น นั่นก็คือ ชาแอปเปิลเย็นจ้า

โห แค่คำว่า apple คำเดียวยังได้ศัพท์ตั้งมากมายเลย จริงมั้ยคะ

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Cicada จักจั่นเจ้าเอย

สะดุดชื่อตลาดนัดคนเดินแห่งใหม่ของหัวหิน "Cicada" ก็งงนิดๆ ว่า ทำไมถึงเอาชื่อแมลงมาตั้ง เลยแวะเข้าไปดู เว็บ เขาหน่อย และพบว่า ที่ตั้งชื่อนี้เพราะ "จักจั่น" คือ ผู้ขับลำนำแห่งแสงจันทร์ (Cicada: The Choir of Moonshine) โอ้ ฟังดูโก้เก๋ทีเดียวเชียว ชวนให้นึกถึงหิ่งห้อยกับต้นลำพู หรือนิยายของโกวเล้งบอกไม่ถูก หุหุ

และนั่นคือสิ่งที่เจ้าของสถานที่คิดว่า ทุกเส้นเสียงของจักจั่นที่ดังก้องกังวานยามค่ำคืนนั้น เปรียบเสมือนความคิด ความสามารถของปัจเจกชนที่มีอัตลักษณ์ (ลอกคำหรูๆ ของเขามาเลยนะ) แต่บางทีเราก็ต้องศึกษาดูความหมาย "เชิงสัญลักษณ์" ของชาติอื่นด้วย

อย่างในตำนานกรีกโบราณ ไทโธนัส (Tithonus) เจ้าชายที่เกิดไปหลงรักกับนางเทพธิดาอีออส (Eos) ที่ไม่แก่ ไม่ตาย นางไม่อยากให้สามีตายจากไป เลยดั้นด้นไปขอทวยเทพให้มอบความเป็นอมตะ (immortality) ให้สามี เทพก็บันดาลให้ ทว่านางขอแค่ให้เขาไม่ตายอย่างเดียว ลืมขอว่าให้ไม่แก่ด้วย ตาไทโธนัสเลยแก่หง่อมไร้เรี่ยวแรงอยู่ในตำหนักนั่นแหละ นางอีออสสุดรำคาญ ทนไม่ไหว เลยสาปให้ผัวที่เคยรักกลายเป็นจักจั่นไป ฉะนั้น จักจั่นจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอมตะแบบอยู่ไปแบบแก่เฒ่าไม่ตายซะทีไปซะ

หรือในญี่ปุ่น จักจั่นคือสัญลักษณ์ของฤดูร้อน แต่ยังหมายถึงความไม่คงทน (evanescence) มาเร็วไปเร็วเหมือนกันด้วย ส่วนในประเทศจีน มีสำนวนว่า "金蝉脱壳" จักจั่นลอกคราบ หมายถึง แอบเล็ดลอดหนีไปอย่างแยบยล อย่างในสามก๊ก ขงเบ้งก็ใช้กลยุทธ์นี้ตอนที่พลาดพลั้งในการศึกเพื่อจะจับตัวสุมาอี้ ขงเบ้งป่วยหนักและรู้ตัวว่างานนี้คงเอาชีวีรอดไม่ได้แน่ เลยสั่งทหารไว้ก่อนเลยว่า ถ้าตนตายไปแล้ว ห้ามทุกคนร้องไห้ และห้ามใส่ชุดไว้ทุกข์ ไม่งั้นจะโดนประหารทันที และทำพิธีสะกดดาวประจำตัวไม่ให้ตกลงจากฟ้า

ทางด้านสุมาอี้ พอเห็นดาวประจำตัวขงเบ้งหม่นลงก็คิดว่า เห็นทีขงเบ้งจะสิ้นใจแล้วเป็นแน่แท้ เลยสั่งยกทัพพร้อมตะลุย แต่ไม่ทันไร ดาวของขงเบ้งกลับสอยกลับขึ้นไปใหม่และสดใสเหมือนเดิม สุมาอี้เลยสั่งเบรกเป็นการใหญ่ ที่ไหนได้ พอความจริงปรากฏ สุมาอี้ถึงกลับประกาศลั่นว่า ”นี่ข้าโดนขงเบ้งมันหลอกอีกแล้วหรือนี่ ตอนมีชีวิตอยู่ยังพอจะคาดเดาได้ แต่นี่ตายไปแล้ว กลับยิ่งคาดการณ์ไม่ได้ใหญ่ เจ้าผู้นี้มันเก่งกาจจริงๆ”

ยังมีนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง "จักจั่นกับมด" ในนิทานเรื่องนี้ จักจั่น คือตัวแทนของความเพิกเฉย (ignorance) หรือความไม่แยแส (insouciance) ไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น ในฤดูร้อนก็เอาแต่ร้องเพลงทั้งวันทั้งคืน ในขณะที่มดค่อยๆ ทะยอยขนอาหารไปกักตุนทีละนิดๆ จนกระทั่งพอถึงฤดูหนาว ตัวเองก็ไม่เหลืออาหารไว้กิน ต้องมาร้องขอความช่วยเหลือกับมด แต่มีหรือที่มดจะให้ยืม ก็เลยประชดไปซะเลยว่า "คราวหน้าก็เต้นระบำไปด้วยซะเลยสิ!"

ที่แย่กว่านั้น (และแย่ที่สุดเลยก็ว่าได้) ถ้าเกิดไปพูดว่า "cicada" (หรือภาษาอิตาลีว่า cicala) ในทัสคานี มันจะกลายเป็น "vagina" ไปนะสิ!

The Book of Bantorra

เพิ่งเคยได้ดู The Book of Bantorra หรือ Tatakau Shisho (戦う司書) ทางช่อง Animax อืม ก็แปลกดี ดูแล้วงงๆ มั่วดี เพราะมันไม่ค่อยประติดประต่อกัน ท่าทางอ่านเป็นเล่มๆ จะรู้เรื่องกว่า

แต่โดยรวมถือว่าน่าสนใจและแหวกแนวมากๆ เป็นเรื่องในยุคที่เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะกลายเป็นฟอสซิลในรูปหนังสือ (stone-like books) และถูกเก็บรักษาที่ในห้องสมุดแห่งแบนทอร์รา (Bantorra Library) เวลาใครมาแตะหนังสือ ก็จะสามารถรับรู้เรื่องราวยามที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่ได้

ห้องสมุดแห่งแบนทอร์ร่านี้จะมีบรรณารักษ์คอยดูแล ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีฝีมือด้วย ในการ์ตูนเรียกว่า บรรณารักษ์ประยุทธ์ (หรือฝรั่งพากย์ว่า Armed Librarians) แต่ละคนจะต้องแข็งแกร่งและมีความสามารถพิเศษ ภารกิจหลักก็คือ เสาะหาหนังสือเข้ามาไว้ในห้องสมุด

แน่นอนว่าบรรณารักษ์ประยุทธ์ต้องต่อสู้กับพวก War Machines of the Past นำโดย Shulamuffen ที่ต้องการวิญญาณหนังสือเหมือนกัน และพวกโบสถ์ที่ฝักใฝ่ในพระเจ้า (Shindeki Church) ที่คิดว่า มนุษย์ที่ทำตามความปรารถนาของตัวเองได้มากที่สุดจะได้ขึ้นสวรรค์ พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาวิญญาณของพวกนั้นมาอยู่บนสวรรค์ให้มากที่สุด แม้จะต้องฆ่ามนุษย์ก็ตาม (พระเจ้าอะไรฟะเนี่ย)

หลักๆ แล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการกำจัด ฮัมมิวส์ เมเชสต้า ผู้อำนวยการของบรรณารักษ์ประยุทธ์ที่คนแข็งแกร่งที่สุด แถมยังเป็นสาวเซ็กซี่สะบึมอึ๋มมาก!

มาคิดดูเล่นๆ ว่า ถ้ามนุษย์เราตายไปแล้วกลายเป็นหนังสือก็เก๋ดีนะ ในห้องสมุดคงมีหนังสือประเภทต่างๆ มากมาย เนื้อหาก็หลากหลายแตกต่างกันไป แต่แอบสะอึกนิดนึงตอนที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดทำนองว่า "หนังสือของพวกเจ้าช่างว่างเปล่าเหลือเกิน"

ชีวิตคนเราจะไม่น่าสนใจมากเสียจนไม่สามารถบันทึกออกมาได้เลยเหรอ มันช่างน่าเศร้าจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เป่า-ยิ้ง-ฉุบ

เป่า-ยิ้ง-ฉุบ เป็นเกมที่เรารู้จักเป็นอย่างดี และเด็กๆ ชอบเล่นกันประจำ ไม่ใช่เฉพาะเด็กไทยนะคะ แต่เกมนี้ยังแพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะจีน สิงคโปร์ มาเลย์ ญี่ปุ่น เกาหลี หรือฝรั่งก็รู้จักเกมนี้กันดีทั้งนั้น

เกมนี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ในมาเลเซียเรียก "One Two Som" ญี่ปุ่นเรียก "Jan Ken Pon" (じゃんけん) ส่วนเกาหลีจะเรียกว่า "คาวี พาวี โพ" (가위 바위 보) ที่ถ้าพูดเร็วรัวจะหดเหลือ "ไค ไพ โพ" หรือบางคนก็เรียกเกมนี้ว่า "muk jji ppa" (묵찌빠 ก้อนหิน-กรรไกร-กระดาษ) ง่ายๆ เลย

แต่รู้มั้ยคะว่า เกมนี้เล่นกันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น หลายร้อยปีก่อนคริสตกาลโน่น สมัยนู้นเขาเรียกว่า "shou shi ling" (手势令) ซึ่งคำว่า "shou" (手) หมายถึงมือ ก็น่าจะเป็นเพราะว่าเกมนี้ใช้มือออกท่าทาง บ้างก็เรียกว่า "huo zhi tou" (豁指头) ซึ่งคำว่า "zhitou" แปลว่านิ้ว ก็คงจะแนวๆ ออกนิ้วมาสิละมั้ง อุอุ

เกมนี้แพร่หลายในญี่ปุ่นมากในช่วงศตวรรษที่ 18 เชื่อว่ามีการระบาดไปต่างแดน จนกระทั่งฝรั่งยังเอาไปเล่น น่าจะเริ่มจากในยุโรปก่อน โดยคาดว่าเริ่มจากอิตาลีเป็นประเทศแรก และเรียกเกมนี้ว่า La morra

แต่ฝรั่งก็อ้างว่า โอย เกมนี้ ฉันรู้จักมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแล้ว ก็ไม่รู้ใครเก่ากว่าใครล่ะค่ะ แต่เป็นอันว่าตอนนี้ฝรั่งรู้จักเกมนี้กันหมดแล้ว แถมเรียกเกมนี้ซื่อๆ ตรงตัวเลยว่า "Rock, Paper, Scissors" และมักเล่นเพื่อตัดสินว่า who will go first. :)

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Sh.i.i.t.t.t.t!

ปกติเวลาดูหนังฝรั่ง ตัวละครชอบสบถ "Oh Shit!" หรือ "Bullshit" วันนี้เลยจะขอพูดถึงคำว่า "shit" ซักหน่อย คงรู้กันดีอยู่แล้วว่าคำนี้แปลว่า "ขี้" เอ่อ ถ้าให้เพราะกว่านี้ก็ "อุจจาระ" ซึ่งภาษาอังกฤษก็มีคำเพราะๆ เหมือนกันนะคะ เช่น "excrement" ของเสียที่ขับออกจากร่างกาย หรือน่ารักขึ้นมานิดแบบใช้กับเด็กๆ ก็ "poop" อึ

หากเป็นคำกริยาก็ใช้คำว่า excrete หรือ defecate ส่วนเด็กๆ เวลาบอกแม่ว่าปวดอึก็จะบอกว่า "Mommy, I want to poo" ค่ะ "do a poo" หรือ "to poo" ก็คือ ปวดท้องอึนั่นเอง แต่ถ้าแม่ได้กลิ่นตุๆ จากกางเกงเจ้าหนูล่ะก็ โดนคำถามนี้แน่ "Did you poo on your pants?" โฮะโฮะ

อึนี่มีประโยชน์นะคะ เพราะมันจะบอกได้ว่าสุขภาพของเราเป็นยังไง แต่คงไม่พูดถึงตรงนี้ ใครสนใจก็ใช้บริการอากู๋ กูเกิ้ลได้เลยค่ะ

พูดถึงอึ ก็นึกถึงตอนไปอินเดีย จะเห็นก้อนแข็งๆ ติดอยู่ตามฝาบ้าน ไกด์บอกว่าเป็นเชื้อไฟ และมันทำมาจากขี้วัว ใช่คะ ชาวอินเดียจะโกยอึวัวมาปั้นเป็นก้อนแปะตามรั้วบ้านตากแดดไว้ เพื่อเอามาเป็นเชื้อไฟเวลาหุงต้ม เจ้าก้อนๆ ที่ว่านี่ก็คือ cow dung นั่นเอง

เอ้า กลับมาเรื่อง shit ก่อนค่ะก่อนจะเตลิดไปกันใหญ่ คำว่า "shit" นี้ใช้มากในสำนวนและศัพท์สแลง อย่างเวลาเจอเรื่องไร้สาระ หรือเรื่องงี่เง่า คนมักจะอุทานว่า "bullshit" ก็ไม่รู้ว่าขี้วัวมาเกี่ยวอะไรด้วย หรือถ้าใครพูดอะไรแล้วเราไม่เชื่อ เราก็อาจบอกเขาได้ว่า "no shit"

บางทีก็เห็นฝรั่งอุทาน "Oh shit!" ประมาณอารมณ์ว่า "ซวยละกู" หรือ "ฉิบหายละ" แต่ก็มีสำนวน "give a shit" ที่แปลว่า ให้ความสนใจ ที่ใช้กับบุพบท about ขยายบอกว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น He always give a shit on her fake sad stories. เขาชอบฟังนังนั่นตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอยู่เรื่อย

แต่ปกติเราจะพบบ่อยในรูปประโยคปฏิเสธมากกว่า เช่น I don't give a shit ฉันไม่สนหรอก หรือ Don't give a shit อย่าไปใส่ใจเลย อะไรประมาณนี้ บางคนก็ใช้คำว่า damn แทนคำว่า shit ก็ได้ ความหมายเหมือนกัน

เวลามีใครมาทำตัวงี่เง่ากับเราก็ว่าไปเลยค่ะ "Don't shit on me" หรือจะบอกว่าอย่ามาแหยมกับฉันนะก็พูดว่า "Don't shit with me!" แต่ที่โดนใจฉันที่สุดก็คือ ตอนที่ดูหนังเรื่อง The Help ตอนที่แม่บ้านทำพายไปให้เจ้านายจอมแสบ เจ้านายกินแล้วชมใหญ่ว่าอร่อยมาก อร่อยแบบไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน แล้วแม่บ้านก็เย้ยลั่นว่า แหงล่ะก็เพราะ "You just ate my shit!" ฮ่าๆ เล่นเอาหัวเราะจนแทบตกเก้าอี้เลยค่ะ

ส่วนเจ้านายก็ตะลึงสิคะ อ้วกแตกอ้วกแตน เวลาเจอเรื่องช็อกตะลึงงึงงันแบบนี้ มีสำนวนเหมือนกันค่ะว่า "shit a brick" ซึ่งจะใช้เวลายัวะจัดก็ได้เหมือนกัน อย่างกรณีของเจ้านายตัวแสบนี้ หรือถ้าเกิดถูกแฟนจับได้ว่ามีกิ๊ก ก็อาจพูดได้ว่า Oh man, my girlfriend caught me playing with that girl, she almost shit a brick on me.

เวลาที่กลัวมากๆ ฝรั่งมีสำนวนที่ไม่ไพเราะสักหน่อยว่า scared shitless กลัวจนขี้หด แต่ เอ เบ้านเราจะกลัวจนขี้แตกรึเปล่านะ ฮ่าๆ อ้อ อันนี้คือเรากลัวนะคะ ที่ต้องมี verb to be เข้ามาช่วย เช่น I'm scared shitless แต่ถ้าเราทำให้คนอื่นกลัวจะเป็น to scare someone shitless อย่าสับสน

นอกจากนี้ยังมีคำว่า shit-faced เช่น He was too shit-faced to remember what happened last night. เมาแอ๋จนจำอะไรไม่ได้เลย นิสัยไม่ดีนะแบบนี้

อีกคำที่เห็นบ่อยเหมือนกันคือ "Shit happens" มักใช้เวลาที่รู้สึกว่า ชีวิตคนเราบางทีก็มีเรื่องไม่ดีเข้ามาบ้าง It's life.

ในกรณีที่เกิดเรื่องอื้อฉาวแบบ scandal ก็มีสำนวนที่ใช้คำว่าอึอยู่เหมือนกันว่า "when the shit hits the fan" นึกภาพดูสิว่า เวลาอึถูกพัดลมพัดฟุ้งกระจาย มันจะเละเทะแค่ไหน :D

ศัพท์กับศพ ตอนที่ 2

ยังพูดถึงเรื่องศพกันต่อค่ะ กรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรืออาชญากรรมก็ดี หากไม่มีใครรู้จักชื่อของผู้ตาย อเมริกันจะมีชื่อสามัญไว้เรียกศพนิรนาม ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียก John Doe หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า Jane Doe

แต่น่าแปลกที่ในประเทศอื่นที่พูดภาษาอังกฤษ (ยกเว้นอเมริกากับแคนาดา) กลับไม่เรียกแบบนั้น อย่างอังกฤษ (รวมถึงประเทศอื่นที่เคยเป็นอาณานิคม) จะเรียกว่า Joe Bloggs หรือ Joe Schmoe แทน ซึ่งไม่คุ้นหูบ้านเราเท่าไหร่ คงเป็นเพราะเราดูซีรีส์อเมริกันมากกว่าก็เป็นได้

เคยอ่านนิยายแปลบ้านเรา คนแปลชื่อออกมาตรงๆ เลยว่า จอห์น โด ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือไม่รู้ที่มาของคำนี้กันแน่ ต้องขอชมคุณสุกิจ ผู้แปล "Stiff" เพราะพี่เขาเข้าใจและเลือกใช้คำที่เหมาะกว่า นั่นคือ "นาย ก." คิดไม่ถึงล่ะสิ

พอ John Doe ถูกส่งมาผ่าชันสูตร ในแง่ของ forensic autopsy เพื่อหาสาเหตุการตาย หรือ COD (Cause of Death) ผู้ที่ทำหน้าที่สืบจากศพนี้คือ Forensic Pathologist หรือนิติพยาธิแพทย์ ศัพท์บ้านเราฟังดูทะแม่งๆ มะ นึกถึงพวกพยาธิยังไงไม่รู้

สาเหตุการตายตามกฎหมายของอเมริกันจะระบุได้ 5 กรณีค่ะ ได้แก่

  1. Natural - สิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ
  2. Accident - เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
  3. Homicide - ถูกฆาตกรรม
  4. Suicide - ฆ่าตัวตาย
  5. Undetermined - ระบุสาเหตุไม่ได้

เรารู้กันแล้วว่า การผ่าศพเรียกว่า autopsy ใช่มั้ยคะ แต่ถ้าเป็นการฆ่าหั่นศพ อุบ๊ะ สยองโคตร แบบนี้ก็มีศัพท์เรียกเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ศัพท์สแลง "butcher" ใช่ค่ะ คนขายเนื้อนี่แหละ สับ-ฉับ-ฉับ-ฉับ บรึ๋ยยยย

เขียนแล้วชวนให้นึกถึงคำว่า โรงฆ่าสัตว์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Slaughter House คำนี้มันเหมือนมีกลิ่นคาวเลือดติดมาด้วยบอกไม่ถูก คำว่า slaughter จึงหมายถึงการฆ่า เฉือน แล่เนื้อ ออกแนวโหดๆ อะค่ะ

การฆาตกรรมหมู่มีศัพท์เฉพาะของเขาเหมือนกันนะคะ คงจะเคยเห็นกันบ้างกับคำว่า Massacre วิธีจำง่ายๆ ค่ะ mass ก็หมายถึงมวลชนอยู่แล้ว mass murder หรือ mass killing ฆ่ากันเป็นเบือ หรือนึกภาพเลือดอาบนอง blood bath ก็หมายถึงการสังหารหมู่เหมือนกัน

และเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลกคือ Holocaust การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชายยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวถูกฆ่าตายร่วมสิบล้านคน เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญชาวโลกมาก โอย ไม่ไหว ขนลุกค่ะ

ลดดีกรีความโหดสยองขวัญลงมาหน่อยดีกว่า คำว่า "ฆ่า" ก็มีศัพท์น่าสนใจมากมายนะคะ อย่างฆ่าตัวเองก็ commit suicide แต่ถ้าฆ่าคนอื่นก็ murder หรือทางการหน่อยก็ใช้คำว่า homicide แต่ถ้าเป็นฆาตกรรมต่อเนื่องจะเรียกว่า serial murder

ถ้าหากเป็นการจ้างวานคนอื่นฆ่า อันนี้จะเป็น contract murder แต่พวกระเบิดพลีชีพนี่ suicide bombing หรือ suicide attack ที่ถือว่าเป็น murder-suicide เพราะตัวเองก็ตาย คนอื่นก็ตายด้วย

ถ้าเป็นการลอบฆ่าคือ assassin แต่ถ้าเหยื่อเป็นคนดัง หรือเป็นบุคคลทางการเมือง เช่น ประธานาธิบดี อันนี้จะเพราะขึ้นมาอีกนิดเป็น assassinate แต่ส่วนใหญ่จะคุ้นกับการใช้เป็นคำนามมากกว่า เช่น The Assassination of Abraham Lincoln

สแลงก็เยอะค่ะ อย่าง "take out" บางทีก็ไม่ได้หมายถึงเอาออก ยึด ถอดถอน สั่งอาหารกลับบ้าน นัดสาวออกไปข้างนอก แต่ยังเป็นสแลงหมายถึง สั่งเก็บ เอ คงเพราะให้เอาออกไปจากโลกนี้รึเปล่านะ หุหุ

ยังมีการฆ่าแบบถูกกฎหมาย อย่างนักโทษที่ได้รับ Death Sentence หรือโทษประหารชีวิต เวลาถูกนำตัวไปประหาร เขาจะใช้คำว่า execute หรือง่ายๆ ว่า put to death สำเร็จโทษ

ในบางประเทศ "การุณยฆาต" ถือเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ที่จะใช้กับผู้ป่วยสมองตายที่คิดว่ายังไงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมามีชีวิตได้อีกแล้ว ญาติจะเซ็นอนุญาตให้หมอฉีดยาให้หลับไป แบบนี้เขาเรียกว่า Mercy Killing ค่ะ แต่ยังไง มันก็คงเป็นตราบาปอยู่ดี

เอ จากเรื่องศพไปเรื่องฆ่าได้ไง แต่การเรียนศัพท์แบบนี้ ฉันว่าสนุก เพราะทำให้เราผูกเรื่องต่อยอดไปได้เรื่อยๆ การท่องจำก็จะไม่น่าเบื่อ ไว้นึกถึงคำไหนได้อีกจะมาเขียนใหม่ สนุกดี :)

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ศัพท์กับศพ ตอนที่ 1

ได้หนังสือเล่มหนึ่งมาเมื่อวาน ไม่เคยคิดว่าจะมีหนังสือแนวนี้อยู่บนชั้นหนังสือของตัวเอง อ่านคำนำผู้แปลแล้วซื้อเลย เขียนได้น่าสนใจมาก คิดดู เขาอ่านจบ ติดต่อนักเขียน ขอซื้อลิขสิทธิ์มาแปลเลย แสดงว่าต้องโดนใจอย่างแรง

หนังสือเ่ล่มนี้ชื่อ Stiff เป็น Medical Science Documentary สารคดีวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับศพ ปกติฉันเป็นคนชอบดูซีรีส์พวก forensic thriller อยู่แล้ว โดยเฉพาะ CSI โชคดีที่มีฉบับภาษาไทย ทำให้อ่านง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องปวดหัวกับศัพท์เทคนิคมากมาย ไว้อ่านจบแล้วจะมาเขียนถึงอีกที :)

แต่วันนี้นึกสนุกขอเขียนถึง "ศัพท์กับศพ" พอเพลินๆ ก่อน พูดถึงศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่า "ศพ" เราอาจนึกถึงคำที่อาจเห็นบ่อยอย่าง corpse หรือ dead body แต่หนังสือเล่มนี้ตั้งชื่อว่า stiff ที่ปกติเป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง แข็งทื่อ แข็งกร้าว หรือเข้มงวด แต่ผู้เขียนนำมาเป็นชื่อหนังสือ เพราะมันเป็นศัพท์แสลง หมายถึง ศพ โดยเฉพาะศพที่เกิดจากอาชญากรรม

ยังมีแสลงคำอื่นที่พูดถึงศพ อย่างเช่นชื่อซีรีส์อเมริกันที่สนุกมากเรื่องหนึ่ง "Six Feet Under" เป็นสำนวนเรียกร่างที่อยู่ลึกจากพื้นดินลงไปหกฟุต หรือสำนวนโบราณอย่าง "turn up one's toes" ก็หมายถึง ตายเช่นกัน

เมื่อตายก็ต้องทำพิธีใช่มั้ยคะ คำที่เราพอจะคุ้นหูกันอยู่บ้างเกี่ยวกับพิธีศพก็คือคำว่า funeral แต่ยังมีคำอื่นอีกเช่น burial, cremation อย่างพระราชพิธีที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ เราจะเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ใช้คำว่า Royal Cremation หรือเต็มยศอย่าง Royal Cremation Ceremony for Her Royal Highness Princess Bejaratana

มีคำศัพท์มากมายเกี่ยวกับเรื่องศพและความตาย อย่างคำว่าโลงศพ คงคุ้นหูกันอยู่กับคำว่า "coffin" หรือ "pine box" เพื่อนำไปฝังที่ป่าช้า หรือสุสาน "cemetery" (อย่าจำสับสนกับชื่อหนังดังในอดีต Pet Sematary นะ เพราะเขาตั้งใจเขียนให้ผิด) หรือ grave, graveyard, tomb, burial chamber หรืออย่างสุสานทหารผ่านศึก เขาจะใช้คำว่า Memorial Park

ถ้าเป็นการตายแบบธรรมชาติ ก็ไม่ต้องมีการชันสูตรศพหาหลักฐานอะไร แต่ถ้าเกิดมีพิรุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นฆาตกรรมแล้ว เรามักเห็นในหนังหรือละครว่า ศพจะถูกนำมาผ่าชันสูตร อันนี้เขาเรียกว่า "autopsy" หรือ post-mortem examination

คำว่า "autopsy" มาจากภาษากรีกของคำว่า "autopsia" หรือ "to see for oneself" แต่เราจะเห็นตัวเองได้ไง นอกจากผ่าดูชิ้นส่วนภายใน อูว์... ในอียิปต์ สมัยก่อนเขาผ่าศพกันก็เพราะต้องการจะทำมัมมี่ไง

กลับมาสมัยนี้ เพราะเดี๋ยวจะไปกันใหญ่ คำว่า autopsy นี้บางครั้งจะเติมคำว่า "forensic" เข้ามาขยายความให้รู้ด้วยว่า มันมีกระบวนการทางกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังแนวสืบจากศพจึงเรียกว่า "forensic thriller" ถ้าใครชอบแนวนี้ แนะนำให้ดูเรื่องโปรดของฉันเลย "Crime Scene Investigation" หรือสั้นๆ ว่า CSI มีทั้งลาสเวกัส นิวยอร์ก ไมอามี่ บอกได้เลยว่าสุดยอดมาก

ยิ่งเขียนยิ่งสนุก เพราะมันโยงไปได้หลายเรื่องไม่รู้จบ เอาไว้คราวหน้ามาเขียนต่อว่าจะโยงไปถึงเรื่องอะไรได้อีก :)

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Revenge

เพิ่งได้ดู Revenge ซีรีส์ของ ABC สาวสวยเอมิลี่ ธอร์น ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองที่ผู้คนตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์และสถานะ แต่จุดประสงค์การมาครั้งนี้เพื่อแก้แค้น และทำลายทุกคนที่ทำให้พ่อต้องติดคุก สนุกดี อยากหามาดูทั้งเซ็ต มันช่างชวนให้นึกถึงประโยคที่ว่า "การแก้แค้นนั้นช่างหอมหวาน"

Life of Pi

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไฮอีนา ม้าลายขาหัก ลิงอุรังอุตัง และเด็กชายชาวอินเดีย ต้องติดอยู่บนเรือชูชีพกลางมหาสมุทร กับเสือเบงกอลตัวโต ที่พร้อมจะขย้ำเอาชีวิตตลอดเวลา นานถึง 227 วัน

เมื่อคนกับเสือ และสิงสาราสัตว์ ต้องมาผจญทะเลด้วยกัน จึงเกิดเรื่องราวพิสดารไม่มีใครเหมือน ที่ทำให้นักเขียนไร้ชื่อ ยานน์ มาร์เทล (Yann Martel) พิชิตใจนักอ่าน พิชิตรางวัล โด่งดังเป็นพลุแตกภายในชั่วข้ามคืน

ปีนี้ อั้งลี่ ผู้กำกับชื่อดังจะเนรมิต Life of Pi หรือการเดินทางของพาย พาเทล ให้มาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม จะน่าอัศจรรย์ ตื่นเต้นแค่ไหน ต้องคอยติดตาม

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Blue Valentine

Romantic drama ที่ยิ่งตอกย้ำว่า แรกรักก็หวานหยด แต่พอเวลาผ่านไป ความรักย่อมถดถอย จำต้องอยู่ด้วยกันแบบ love/hate relationship

หนังเล่าสลับไปมา ระหว่างตอนระหองระแหงกับตอนจีบกันใหม่ๆ เมื่อห้าปีก่อน สะท้อนให้เห็นปัญหาชีวิตคู่ที่ "ไม่เสมอกัน" สุดท้ายไม่ "ยื้ออยู" ก็แยกทาง

รักมีทั้งสุขและทั้งทุกข์
อาจทุกข์จนหัวใจแทบสลาย
อาจสุขสันต์เหมือนอยู่ในิยาย
หรืออาจกลายเป็นมายาแค่ข้ามคืน

Bahá’í Faith

วันก่อนดูรายการพื้นที่ชีวิต วรรณสิงห์พูดถึงศาสนาใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลกแค่ร้อยกว่าปีก่อน (ก่อตั้งในศตวรรษที่ 19) ทว่าได้รับความนิยมอย่างสูง อ้างว่ามีสาวกกว่าห้าล้านคนทั่วโลก เลยอยากรู้ว่าเพราะอะไร จึงไปลองค้นข้อมูลดู

ศาสนาใหม่ที่ว่านี้คือ บาไฮ (Bahá’í Faith) ตั้งตามชื่อผู้ก่อตั้ง Bahá’u’lláh ชาวเปอร์เซียจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ผู้ละทิ้งชีวิตหรูหราสะดวกสบาย เพื่อนำสาสน์แห่งสันติสุขมาสู่มวลมนุษย์ เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว และเขาก็เป็นเฉกเช่นผู้นำสาส์นเหมือนกับอับราฮัม พระกฤษณะ โมเสส พระพุทธเจ้า พระเยซู หรือมูฮัมหมัด ที่ล้วนแต่เป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกแล้ว

ศูนย์กลางของบาไฮตั้งอยู่ที่เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล (ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว) และสิ่งที่บาไฮเน้นย้ำคือ Unity ความเป็นหนึ่งเดียว เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ทุกคนบนโลกล้วนเป็นชนชาติเดียวกัน เหมือนที่เขาบันทึกไว้ว่า "The earth is but one country, and mankind its citizens,"

ในรายการ เขาสัมภาษณ์คนที่นับถือศาสนานี้ (ที่คงจะเรียกนักบวชไม่ได้ เพราะเขาไม่มีนักบวช) เขาบอกว่า คนที่นี่จะศึกษาคัมภีร์หรือคำสอนของศาสนาใดก็ได้ เพราะบาไฮเชื่อว่า คำสอนของทุกศาสนาล้วนดีหมด จึงไม่แปลกที่จะเห็นคนที่นี่ถือไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอาน หรือคัมภีร์ตัลมุดของยิว หรือแม้แต่พระธรรมไตรปิฎกก็เถอะ สัญลักษณ์ของศาสนานี้จึงเป็นรูปดาวเก้าแฉก ที่เป็นตัวแทนของ 9 ศาสนาหลักของโลก

แล้วเขาก็อธิบายโดยยกตัวอย่างสวน (เพราะที่ศูนย์กลางรายล้อมไปด้วยสวนทั้งเขา สวยงามมาก) ชี้ให้เห็นว่า สวนที่นี่อุดมไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน มันถึงสวยงาม สมบูรณ์ ถ้ามีเพียงสีเดียวคงจืดชืด ราบเรียบ ไม่ชวนมอง แต่กระนั้นมันก็เป็นสวนเดียวกัน เอ่อ...เห็นภาพเลย

วรรณสิงห์ก็โพล่งถามไปตรงๆ เลยว่า ถ้าต่างคนต่างศึกษาคำสอนของศาสนาต่างๆ แล้วบาไฮล่ะ มีคำสอนของตัวเองรึเปล่า

แน่นอนว่าต้องมี ดูเหมือนว่าคัมภีร์ของบาไฮที่เขียนโดยผู้ก่อตั้งและคณะจะมีอยู่เพียงไม่กี่เล่ม ได้แก่ คัมภีร์อัคคัส คัมภีร์วจนะที่ซ่อนเร้น คัมภีร์หุบผาทั้ง 7 และทั้ง4 และ คัมภีร์อิกัน แต่คำสอนของเขาเน้นให้คุณ "ขจัดอคติทุกรูปแบบ และค้นหาความจริงอย่างอิสระ" พูดง่ายๆ ก็เหมือน self-study นั่นล่ะ

แต่ชาวบาไฮเชื่อว่า โลกนี้มีเพียงหนึ่ง เมื่อคุณตายไป ไม่ขึ้นสวรรค์ก็ลงนรก ฉะนั้น จุดหมายของผู้นับถือศาสนานี้คือ จงรักภักดีต่อพระเจ้า และปฏิบัติตามคำสอน เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์

ในประเทศไทยก็มีศูนย์บาไฮเหมือนกัน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ซอยหลังสวน เพลินจิต และยังมีสาขาต่างจังหวัดที่ เชียงใหม่ สงขลา และยโสธรด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Go playing outside improves eyesight.

According to the Lancet study about the rise of myopia in East Asia of the past few decades, 80-90% of high school grads are near-sighted and the prevalence will continue to grow. So, how to prevent it?

The study shows that going outside can help. More time spent outside protects against near-sightedness. That doesn’t have to mean playing sports. It can just mean being outside. As simple as that.

Researchers from the University of Cambridge recently discovered that near-sighted children spent an average of 3.7 fewer hours outdoors per week than children with normal vision or who were farsighted.

So children who played outside more had better vision? Yes, compiling research from over 10,000 children and adolescents, the Cambridge study found that for each additional hour children spent outdoors every week, their risk of developing nearsightedness fell by 2%.

More than that, there're some other reasons why kids should be going outside. Crisp and clear vision isn't the only benefit. Don't you think?

10 Most Read Books In The World (2012)

Over the last half century hundreds of thousands of books have been produced, but only a select few have become the most popular and most read books in the world. This is a list of the 10 most read books in the world over the last fifty years. The figures show the number of books printed and sold but does not take into account multiple readings of the same book.

10 Most Read Books In The World (2012)

10. Diary of Anne Frank - 27 Million Copies
9. Think and Grow Rich by Napoleon Hill - 30 Million Copies
8. Gone With the Wind - 33 Million Copies
7. Twilight - The Saga - 43 Million Copies
6. The Da Vinci Code - 57 Million Copies
5. The Alchemist - 65 Million Copies
4. Lord of the Rings - 103 Million Copies
3. Harry Potter - 400 Million Copies
2. Quotations from the Works of Mao Tse-tung, aka the 'little red book' of Mao Tse-tung,- 820 Million Copies

and the No. 1 Most Read in the world is...

1. The Bible - 3.9 Billion Copies!

How about you? Have you ever read one of them? I bet you did!

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Almost Single

Just finished 276 pages in two days! "Almost Single", a light novel that's like Bridget Jones of India plus a little bit of Sex in the City.

Indians are not different from Asians, if you hit 30 and are still single, it's like a sin. Aisha is there, almost 30 and unmarried, living among the dinks who think marriage is the end of the book with "Happy together forever". She and her friends will take you into the world of singles, especially Indian singles. Hilarious & exotic. Not just about singles trying to get hitched, but also about families, friends, colleagues in both warm & sarcastic ways.

Indians really have magic. Their cultures are very interesting. I like the way Aisha wears jeans and red sneakers under her sari. It quite tells the character. And when she says something like shrinks are for westerners but fortune-tellers are for Indians. It's hilarious but true. Quite like traditional Chinese. Indian so-called rituals are also amazing. Eager to discover more.


Product Details:
Paperback: 276 pages
Publisher: Bantam Discovery (Feb 24, 2009)
Language: English
ISBN-10: 0553386107
ISBN-13: 978-0553386103