วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำบุญเพื่ออะไร

"ปีนี้ทำบุญเยอะเนอะ ทำแล้วชีวิตดีขึ้นมั้ย?"

เป็นคำถามที่ฟังแล้วก็งงๆ เล็กน้อย เป็นเพราะโดยส่วนตัวไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เลยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี

พาลให้นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมา "แล้วคนส่วนใหญ่ทำบุญเพื่ออะไร"

พูดตามตรง เราคงจะหาคำตอบที่ถูกที่สุดไม่ได้หรอก เพราะเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล บางคนทำบุญเพราะกลัวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ บางคนทำบุญเพื่อชีวิตจะดีขึ้น หรือบางคนทำบุญเพื่อเอาหน้า ฮ่า อย่าเถียงว่าไม่มี

อย่างที่บอกค่ะว่ามันเป็นเรื่องปัจเจก ที่ทำได้ก็แค่หันมาถามตัวเองจริงจังว่า "แล้วเราล่ะ ทำบุญเพื่ออะไร" ถ้าให้ตอบกวนหน่อยก็อาจบอกว่า "ดีกว่าทำบาปมั้ยล่ะ" ไม่อาว ไม่พูด คุยกันดีๆ ไม่กวนทีนกันดีกว่า อุอุ

โดยส่วนตัวเป็นคนเอาแต่ใจค่ะ อยากทำอะไรก็จะทำเลย (แต่จะทำเฉพาะสิ่งที่คิดว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนะ) ถ้าเรื่องไหนคิดว่าทำแล้วสบายใจก็จะทำเลย และส่วนหนึ่งได้ทำเพราะมีโอกาสมากกว่า อาจจะเป็นบุญชักนำ หรือทางพระว่า "ธรรมะจัดสรร"

อย่างวันก่อนบังเอิญไปเห็นว่า ที่ห้องสมุดวัด แว่นสายตายาวเหลือแค่ 3 อัน เลยถามผู้ดูแล บอกว่ามีพระจากศรีลังกามาขอไป เพราะประเทศเขายากจนกว่าเรา ได้ยินแค่นี้ ใจก็คิดไปว่า เออ แถวบ้านเรามีร้านขายส่งแว่นตานี่นา ไว้เราไปซื้อมาบริจาคดีกว่า คิดแค่นั้นค่ะ วันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อและแวะเอาไปให้เขา จบ

แล้วถามว่าหวังอะไรมั้ย ไม่เคยหวังนะคะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า เคยมีเพื่อนบอกว่า เวลาทำบุญให้ส่งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะให้ตัวเองหรือให้ใคร แล้วบุญนั้นจะไปถึง

แต่ถามว่าตัวเองเชื่อและคิดแบบนี้มั้ย ตอบได้เลยว่าไม่เคยคิดค่ะ ไม่ใช่ไม่เชื่อในบาปบุญนะคะ เพียงแต่ว่าไม่เคยคิดถึงประเด็นนั้นมากกว่า ที่ทำก็เพราะอยากทำ ทำแล้วสบายใจ คิดแค่นี้จริงๆ ค่ะ

ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง ไหนลองมาแชร์กันหน่อยสิคะว่า "พวกคุณทำบุญกันเพื่ออะไร"

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แก้ความเกลียดชังด้วยความเข้าใจ

อยากให้ดูพื้นที่ชีวิต ตอนชีวิต ความหวัง ความตายในค่ายเอาชวิตซ์ ตอนที่ 2 เนื้อหาดีมากๆ เป็นตอนที่พูดถึงความเกลียดชัง ความกลัว การให้อภัย และความเข้าใจ

พิพิธภัณฑ์ ณ ค่ายเอาชวิตซ์ ในโปแลนด์ ไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อตอกย้ำความโหดร้าย หรือชวนให้เกลียดชังชาวเยอรมันนาซี แต่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอดีต และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ไม่ว่ากับชนชาติไหนบนโลกใบนี้

ยอมรับกันเถอะว่า มนุษย์ไม่ได้ต่างไปจากสัตว์ มีความโหดร้ายอยู่ในตัวเราทุกคน แต่มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ตรงที่สามารถคิดและตรึกตรองได้ มีจิตสำนึกมากกว่า

ทุกคนย่อมทำผิดได้ แต่เมื่อผิดไปแล้ว จะมัวแต่หาข้อแก้ตัวเพื่อกลบเกลื่อนความผิด หรือจะกล้าเผชิญหน้าและยอมรับความจริงอันเจ็บปวด และขอโทษจากใจที่สำนึกผิดอย่างแท้จริง

ประวัติศาสตร์ไม่ได้ต้องการชี้ว่าใครถูกใครผิด แต่ให้เห็นและไตร่ตรองว่า อะไรต่างหากที่ทำให้เรื่องราวบานปลายถึงขนาดนั้นได้ มันคือสิ่งที่มนุษยชาติควรศึกษา และทำความเข้าใจเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ชอบตอนที่เขาบอกว่า ลูกหลานนาซีรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแทนบรรพบุรุษ และลูกหลานยิวก็ไม่มีเหตุให้ต้องแค้นเคืองแทนเช่นกัน ที่สำคัญ ลูกหลานยิว "ไม่มีสิทธิ์ที่จะให้อภัย" เพราะคนที่มีสิทธิ์ คือเหยื่อผู้ถูกกระทำเท่านั้น

เราไม่ควรตอบโต้ความเกลียดชังด้วยความโกรธแค้น แต่ด้วยความเข้าใจ

ฟังดูเป็นเรื่องที่ยากที่จะสอนให้คิดและทำแบบนั้นได้ น่านับถือจริงๆ

คลิกดู ชีวิต ความตาย ในค่ายเอาชวิตช์ ตอนที่ 1 | ตอนที่ 2

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นไทยคือ...

เมื่อวานเพื่อนถามหาความคิดเห็นให้คุณสามีฝรั่งทำวิทยานิพนธ์ โจทย์มีอยู่ว่า "ความเป็นไทย" คืออะไร แล้วความเป็นไทยเป็นสิ่งแท้จริงมั้ย ถ้าจริง คืออะไรและเพราะเหตุผลใด

เห็นคำตอบหลายคนก็ชื่นชม กำลังจะปิดไฟนอนเลยต้องลุกขึ้นมาใหม่ เรียกว่าคันไม้คันมืออยากตอบว่างั้นเถอะ :)

โดยส่วนตัวแล้ว ความเป็นไทย คือ การที่เรามีภาษาเป็นของตัวเอง มีขนบประเพณี วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีค่านิยมประจำถิ่น คือ ไม่คิดมาก สบายๆ คือไทยแท้ คนไทยส่วนใหญ่จึงยิ้มง่ายและเป็นมิตร มีน้ำใจ แต่เพราะรักสบาย คนไทยจึงไม่ชอบการแข่งขัน โดยเฉพาะแข่งกันแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนชาติอื่น (เช่น เกาหลี สิงคโปร์ ญี่ปุ่น) นิยมช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากกว่า แบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

แต่ค่านิยมย่อมแปรผันไปตามกาลเวลา หลักพุทธศาสนาก็ว่าไว้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน คนไทยมักซึมซับวัฒนธรรมจากชาติอื่นได้เร็ว โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องบันเทิงเริงใจ เพราะมันสอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐาน ที่รักสนุก รักสบาย

ข้อดีคือ คนไทยมักไม่เครียด หรือเครียดก็ไม่นาน ไม่คิดมาก เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ข้อเสียคือ ไม่พัฒนาเท่าทันประเทศอื่น และด้วยความมีน้ำใจ เชื่อใจคนง่าย จึงมักถูกใช้ประโยชน์ และตกเป็นเหยื่อง่าย

แต่ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน ความเป็นไทยก็ยังคงความเป็นไทย รักสนุก สบายๆ ลืมง่าย ไม่จดจำ ไม่ชอบความวุ่นวาย เชื่อในกฎแห่งกรรม และบ้างก็งมงาย แต่ในยามคับขัน คนไทยไม่ทิ้งกัน น้ำใจไทยไม่เคยเหือดหาย

คิดว่าคำตอบนี้คงจะช่วยสามีเพื่อนได้ไม่มากก็น้อยนะ ^ ^

ปล. เขาบอกให้ตอบเป็นภาษาไทย คงจะเรียน "Thai Study" อยู่แน่เลย

นโยบายใหม่เขย่าขวัญชาว IG

เมื่อวานมีคนบอกว่า พวกภาษาอังกฤษอ่อนหัด พอเห็นนโยบายใหม่ของ IG ก็โวยวาย ดราม่ากันอีกแล้ว แหม ก็นโยบายใหม่เขาออกจะเขย่าโลกออนไลน์ซะขนาดนั้น ขนาดฝรั่งเจ้าของภาษายังโวยวายเป็นว่าเล่น แสดงให้เห็นว่าทักษะภาษาจะอ่อนหัดไม่อ่อนหัดไม่เกี่ยว เพราะเขากลัวเรื่องละเมิดสิทธิส่วนบุคคลมากกว่า

ดราม่าไม่ดราม่าคิดดู ขนาด IG ยังต้องออกแถลงการณ์อีกรอบ อธิบายเรื่องนโยบายที่เขย่าโลกไซเบอร์เมื่อวาน จะสรุปสั้นๆ ให้พอเป็นกระสัย ฉบับเต็มไปอ่านกันได้ที่ http://blog.instagram.com/

เรื่องแรก Ownership Rights Instagram users own their content and Instagram does not claim any ownership rights over your photos. สิทธิในภาพยังเป็นของเจ้าของตามเดิมไม่มีเปลี่ยน

ต่อมาคือเรื่อง Privacy Settings Nothing has changed. If you set your photos to private, Instagram only shares your photos with the people you’ve approved to follow you. เรื่องความเป็นส่วนตัวยังเหมือนเดิม ถ้าตั้งค่าว่า "private" เฉพาะคนที่ตามคุณเท่านั้นที่จะเห็นภาพเหล่านั้น แต่เราอย่าลืมกลับไปเช็คค่าที่ตั้งไว้กัน บางที default อาจจะเป็น public ก็ได้ ฮ่าๆ

Advertising เรื่องนี้ต้องบอกว่า เมื่อวานชาวเน็ตไม่ได้ดราม่านะจ๊ะ เพราะ IG ยังต้องออกมาขอโทษเลยว่า It is our mistake that this language is confusing. ไม่ใช่เพราะพวกเราสับสนเพราะภาษาอ่อน และเขากำลังจะหาคำทางกฎหมายที่ดีกว่านี้ เพื่อยืนยันว่า เขาไม่ได้คิดจะขายภาพของเรา แต่ยังไม่รู้จะออกมาแบบไหน เพราะเขาต้องหาเงินมาเลี้ยงตัว ถึงมีนโยบายจะขายโฆษณา ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นยังไงต่อไปก่อน เพราะ IG เองยังมึนตึบกับกรณีเมื่อวานอยู่

คงจะทำนองแก้นโยบายให้ tie-in โฆษณาใน IG ได้ หรือทำยังไงที่จะให้คนเข้าถึง brand ที่จะมาโฆษณาผ่าน IG ได้มากกว่านี้ โดยไม่ใช้ banner ad ให้เกะกะลูกกะตา ต้องรอดูเพราะเขาเองก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะเอาไงดีเหมือนกัน

แต่ีที่แน่ๆ เคสของ MAGNUM ก็ทำเงินถล่มทะลายแล้ว ที่ทำเป็นกินไอติม+ถ่ายภาพโชว์บน IG ได้เงินไปคนละแสนสองแสน ยอดขายไอติมทะลุทะลวงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เขาคงต้องมีการปรับนโยบายโดยที่ IG ก็น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับการโฆษณาแฝงแบบนี้ด้วย

ก็ต้องติดตามกันต่อไปล่ะค่ะ ว่าหลังจากที่เขาไปปรึกษาทนาย และร่างนโยบายใหม่ที่ภาษาไม่หวาดเสียวชวนสะดุ้งแล้ว ผลจะออกมาเป็นยังไง ใครที่โมโหลบ account ไปตั้งแต่เมื่อวานก็อย่าเสียใจไปเลย เริ่มสมัครใหม่ได้ :P

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

e-singles อีนี้ไม่โสด

สมัยนี้มีศัพท์ใหม่ๆ ออกมาทุกวี่ทุกวัน วันนี้เจอคำว่า "e-singles" ใจนึกถึง single ที่แปลว่าโสด พาลสงสัยว่า "อี-โสด" นี่มันเป็นยังไง เลยค้นดูสักหน่อย

ปรากฏว่าเดาผิด e-singles อีนี้ไม่โสด แต่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของนิวยอร์ก ไทมส์ ยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เป็นงานเขียนแบบ "พอคำ" ไม่ยืดยาวเหมือนงานเขียนทั่วไป ที่ผู้อ่านใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็อ่านจบแล้ว เรียกว่าไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าไปกับ "น้ำ" เน้นแต่ "เนื้อ"

ที่เรียก e-singles นี่มีที่มาจาก format ใหม่ของเจ้าพ่อวงการ digital books อย่าง Amazon ที่เพิ่งเข็น Kindle Singles เข้าสู่ตลาด หวังเอาใจนักอ่านที่ไม่มีเวลามาก และสนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่ที่อยากเสนอ "single idea" หรืองานเขียนแบบม้วนเดียวจบ ที่มีความยาวพอเหมาะ ระหว่าง 10,000 - 30,000 คำ เรียกว่าอยู่ระหว่างบทความในนิตยสารกับหนังสือก็ว่าได้

สนนราคาก็ไม่แพงมาก ประมาณ 2.99 ไม่ถึงร้อย น่าสนอยู่ แต่คงอีกนานกว่าจะขายเมืองไทย เพราะ product ส่วนใหญ่ยังขายเฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ใครเล่น Kindle จะรู้ดี

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Our Loss is Our Gain ขาดทุนคือกำไร

ในหลวงเคยทรงรับสั่งว่า Our Loss is Our Gain หรือขาดทุนคือกำไร ที่ทำเอาฝรั่งเอ๋อไปเลย เพราะมันขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์ของชาติตะวันตกมากๆ ขาดทุนจะเป็นกำไรได้ยังไง ไอม่ายข้าวจาย :P

หากจะยกตัวอย่างง่ายๆ ลองดูอย่างโครงการพระดำริ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งต้องลงทุนลงแรงมาก หากมองในแง่การลงทุน ถือว่าขาดทุน แต่หากมองจากผลสำเร็จ ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้นค่า กำไรในที่นี้คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ฉะนั้น สำหรับพระองค์แล้ว ขาดทุนจึงคือกำไร

หรือจะพูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่า การจะลงทุนทำอะไรก็ตาม อย่าคิดแต่ตัวเงิน อย่ามัวแต่กดเครื่องคิดเลข คิดว่าลงทุนเท่าไหร่ต้องได้กำไรตอบแทนเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม ให้คำนึงถึงผลที่จะได้เป็นหลัก บางทีมัน "คุ้มค่า" กว่ากันเยอะ โดยเฉพาะในระยะยาว

หากเราทำตามพ่อสอน ยอมขาดทุนเพื่อให้ได้กำไร ประเทศไทยจะไม่ขาดแคลน "ผู้ให้" ที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และนั่นคือน้ำใจ คือความเป็นไทยและความเป็นชาติ

นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่า คนไทยโชคดีแค่ไหนที่มีในหลวง