วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Color + Collar = ??

คำว่าปกเสื้อในภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า collar ที่เขายังนำมา+กับสี บ่งบอกถึงอาชีพได้

อย่างพวกพนักงานออฟฟิศจะเป็น white-collar worker ถ้า blue-collar คือพวกใช้แรงงาน (กรรมกร) ถ้าเป็น pink-collar คือพวกสาวๆ เลขา หรือ green-collar ก็พวกพิทักษ์สิ่งแวดล้อม

ยังมี gold collar หมายถึงพวกนักวิชาการ (หรือพวกพนักงานอาวุโสวัยใกล้เกษียณ จำง่ายๆ ว่าวัยทองก็ได้มั้ง ฮ่าๆ) และ gray-collar คือพวกช่างฝีมือ ถ้าเป็น black-collar ก็คือพวกคนงานเหมือง ยังมี open-collar คือพวกที่ทำงานที่บ้านค่ะ

แล้วรู้มั้ยคะว่า dog-collar จะหมายถึงอะไร ทายกันไม่ถูกแน่ๆ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าสี่ขาเลยค่ะ แต่เขาหมายถึง บาทหลวงอะ (ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน)

ปล. รูปที่นำมาฝากเป็นศัพท์เรียกปกเสื้อแบบต่างๆ เผื่อจะมีประโยชน์ :)

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คางบุ๋ม

วันนี้เจอข่าวเขียนถึง "คางแฝด" งงไปนิดหนึ่งว่ามันคืออะไร พออ่านไปก็ถึงบางอ้อ คางแบบที่เขาพูดถึง เขาเรียกว่า คางบุ๋มค่ะ ไม่ใช่คางแฝด (บัญญัติศัพท์เองปะเนี่ย)

ในภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า cleft chin, chin dimple (ประมาณคางมีลักยิ้ม) หรือ butt chin (บางคนก็เรียก ass chin เพราะมันคงเหมือนมั้ง ฮ่าๆ)

คางบุ๋มเกิดจากกล้ามเนื้อคางผิดปกติค่ะ ถ้าทางการแพทย์ถือเป็นความพิการอย่างหนึ่ง (ข้อมูลจากเว็บหมอเสริมความงาม) แต่สังเกตมั้ยว่า ดาราฮอลีวู้ดคางบุ๋มเยอะมาก บางคนก็เป็นมาแต่เกิด แต่บางคนก็ไปทำให้มันบุ๋ม เพราะคิดว่าน่ารักดูมีเสน่ห์ เลยไม่รู้ว่าคางใครบุ๋มจริงบุ๋มปลอม

แต่ลักษณะแบบนี้ไม่ค่อยเกิดกับคนเอเชียว่ามั้ย ฉะนั้น เวลาเห็นอาตี๋อาหมวยคางบุ๋ม พาลจะเดาไปก่อนว่าทำมาแหงๆ อุอุ

เพิ่มให้อีกคำ คางสองชั้นเขาเรียก double chin ตรงๆ ถ้าห้อยย้อยมากหน่อยก็เติมคำขายเข้าไปเป็น "sagging, double chin" ถ้าเหี่ยวด้วยก็บวกเข้าไปอีก เป็น "Sagging, Wrinkling Double Chin" เน้นๆ ย้ำๆ มันเข้าไป ฮ่า ถ้าถึงขั้นนั้นอาจต้องพึ่งมีดหมอนะคะ อิอิ

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Octopus vs Squid & Calamari

อยากได้ทุกตัวเลย ♥♥♥

รู้รึเปล่าคะว่า ปลาหมึกในภาษาอังกฤษมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน (อาจจะมากกว่านั้นก็ได้นะ แต่ที่รู้จักกันดีจะมีอยู่ 2 ประเภทค่ะ) นั่นคือ Octopus กับ Squid

จำง่ายๆ ค่ะ ปลาหมึกที่หัวโต หนวดยาวหยึกหยึย (แบบปลาหนวดหมึกยักษ์ในซูชิอะค่ะ) เขาเรียก Octopus แต่ถ้าเป็นปลาหมึกตัวแบนๆ แบบปลาหมึกปิ้งบ้านเรา เขาเรียก Squid

แต่บางทีเวลาไปร้านอาหาร เราจะเจอคำว่า Calamari อันนั้นก็ปลาหมึกเหมือนกันค่ะ แต่เป็น squid ที่นำมาปรุงอาหาร เมนูจานโปรดก็น่าจะเป็น deep-fried calamari ปลาหมึกทอดกรอบ หิวกันรึยังคะ ^ ^

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

push the boat out!

Let's push the boat out!

ไม่ได้มีความหมายแค่ "มาช่วยกันเข็นเรือลงทะเลกันเถอะ" นะคะ แต่ยังเป็นสำนวน (ของคนอังกฤษ) หมายถึง มาฉลองกันเถอะ หรือขอใช้เงินมากกว่าปกตินิดหน่อย เพราะวันนี้อาจอารมณ์ดี หรือมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น As it's your birthday, I think we can push the boat out and have a bottle of champagne. ไหนๆ วันนี้ก็วันเกิดเธอ ฉันว่าเรามาฉลองเปิดแชมเปญสักขวดละกัน

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

Candlelight Vigil

เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เห็นกลุ่มคนมาวิ่งมาราธอนที่สวนลุม ตอนแรกนึกว่าเป็นการวิ่งปกติที่จัดขึ้นประจำ แต่เห็นป้ายแล้วไม่ใช ป้ายสีดำตามภาพ มีคำว่า BOSTON ทำให้พอเดาได้ว่า เป็นการรวมตัวเฉพาะกิจเพื่อไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดที่งาน Boston Marathon ที่เพิ่งเกิดขึ้น

จบจากการวิ่ง เหล่านักวิ่งยังถือกุหลาบขาวเดินไปที่สถานทูดอเมริกันเพื่อไว้อาลัยแก่เหยื่อที่เสียชีวิต กิจกรรมแบบนี้ ฝรั่งเรียกว่า Vigil ซึ่งถ้าเปิดในพจนานุกรมไทยจะแปลว่า การเฝ้าระวัง หรือการวางวเรยามในเวลาค่ำคืน

เรามักเห็นข่าวว่า ประชาชนรวมตัวกันเวลาพลบค่ำ ณ จุดเกิดเหตุโศกนาฎกรรม มีการจุดเทียนและยืนไว้อาลัยในความเงียบ 1 นาที (silent prayer) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เสียชีวิต กิจกรรมนี้เรียกว่า Candlelight Vigil

อย่างในกรณีนี้จะใช้คำว่า Candlelight vigil for victims of Boston Marathon bombings

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

Express Yourself, Respect Yourself

Oprah เคยถาม Madonna ในรายการว่า จะสอนลูกสาวเรื่องผู้ชายยังไง

ป้าเอ็มตอบป้าโอว่า "สอนให้รู้จักเคารพตัวเอง"

คนในห้องส่งหัวเราะ หลายคนคงคิดในใจว่า หนังหน้าอย่างหล่อนที่ผ่านผู้ชายมาไม่ซ้ำหน้า จะมีปัญญาอะไรมาสอนลูกสาว

แต่แล้วป้าเอ็มก็หัวเราะฟันห่างและย้ำว่า "ถ้าสอนให้เคารพตัวเองแล้ว ก็คงไม่ต้องสอนเรื่องผู้ชายอีก"

เพราะตราบเท่าที่คุณยังเคารพตัวเอง คุณจะไม่มีวันทำร้ายตัวเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่หัวใจบอก และทำสิ่งนั้นอย่างมั่นใจ นั่นแหละคือการเคารพตัวเอง

หงายเงิบไปเลยคุณผู้ชม

ว่าแล้วก็ฟังเพลงของป้าแกหน่อย Express Yourself

You deserve the best in life
So if the time isn't right then move on

Scent of a Woman

ที่จริงจะว่าไป ละครเกาหลีบางเรื่องก็น้ำเน่าพอกับละครไทยนั่นแหละ โชคดีที่ภาพสวย วิวดี ดำเนินเรื่องน่าสนใจ และมีสาระมากกว่าตบตีแย่งชิงผู้ชายทั้งเรื่องเหมือนที่กำลังออกอากาศในบ้านเราอยู่ตอนนี้

Scent of a Woman เป็นอีกเรื่องที่ชอบ นำแสดงโดยนางเอกคิมซัมซูน ที่มาคราวนี้สวยผอมเพรียวมาเลย กับพระเอกหนุ่มปากแดง ลีดองวุค

บทก็พอเดาได้ นางเอก "อาจุมม่า" วัยใกล้จะเป็นป้า ลูกสาวชาวบ้านธรรมดา ไม่ร่ำรวยเงินทอง แต่รวยน้ำใจ เกิดปิ๊งรักกับพระเอกลูกเศรษฐีที่มักมีปมชีวิต และได้นางเอกมาช่วยสะสาง แน่นอนว่ารักต่างชนชั้นย่อมถูกกีดกัน แต่สุดท้ายความรักจะชนะทุกสิ่ง (เน่ามาก)

แต่ที่ชอบคือ "โจทย์" ของเรื่องนี้ เมื่อคุณถูกวินิจฉัยว่า จะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หกเดือน คุณจะทำอย่างไรกับบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่

บางคนอาจซึมเศร้าหรือร้องไห้ฟูมฟาย ตัดพ้อโทษโชคชะตาที่ช่างไม่ยุติธรรม บางคนอาจประชดชีวิต ทำตัวสำมะเลเทเมา ถุยชีวิต

หรือบางคนอาจเลือกที่จะใช้ทุกนาทีที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด

เมื่อดูละครก็ต้องย้อนดูตัว ทุกวันนี้ เรากำลังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่หรือเปล่า มีสิ่งใดมั้ยที่เราจะเสียใจหากจากโลกนี้ไปโดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำ หรือเราฝากผลงานอะไรไว้บนโลกใบนี้บ้าง และบางเรื่องที่ทำได้ ทำไมถึงไม่ทำเสียแต่ตอนนี้

20 สิ่งที่นางเอกอยากทำก่อนตาย ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นแบบพิชิตเขาเอเวอร์เรส หรือเดินทางรอบโลกภายใน 80 วัน แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทำได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ อย่างเช่น ทำให้แม่หัวเราะทุกวัน กล่าวคำขอโทษกับทุกคนที่เคยทำผิดต่อเขา ออกเดทกับชายในฝัน ไปเที่ยวสวนสนุก ทำกิจกรรมจิตอาสา หรือแม้แต่แก้เผ็ดคนที่เคยทำผิดต่อเรา

แต่เชื่อหรือไม่ว่า แค่เรื่องง่ายๆ ก็อาจเป็นเรื่องยากได้เมื่อคุณมีเวลาจำกัด คุณอาจต้องเสียเวลาตามหาคนที่อยากขอโทษ หรือเขาอาจไม่ยอมรับคำขอโทษของคุณ ที่ทำให้คุณต้องใช้เวลามากกว่าที่คิดกว่าจะได้รับการให้อภัยจากเขา เป็นต้น

ฝรั่งจึงมีคำกล่าวว่า Live as if you'll die today.
จงใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้คือวันสุดท้ายบนโลกนี้
เวลาเป็นของมีค่า อย่าปล่อยให้ผ่านเลย

ถ้ามีใครที่คุณอยากโทรหาก่อนลาจากโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นใคร...ทำไมถึงไม่โทรหาเขาตอนนี้เลยล่ะ

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

Himizu

ดราม่าหนักๆ ที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูน Manga โดยปรับเนื้อหาให้เข้ากับยุคปัจจุบันมากขึ้น บอกเล่าเรื่องราวของเด็กวัยรุ่นสองคน ที่ชีวิตต่างคนต่างมีบาดแผล สุมิดะ เด็กหนุ่มผู้ถูกชะตาผลักให้ตกไปอยู่ในวังวนของความรุนแรงเกรี้ยวกราดและสิ้นหวัง เคโกะ เด็กสาวที่แม้ชีวิตจะมืดมนพอกัน แต่เธอยังมีความหวังในอนาคต

"ถึงฉันจะจน แต่ฉันก็มีอนาคต ฉันจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่เป็นขยะสังคมเหมือนพวกแก"

ดูแล้วก็เครียด หนังสะท้อนให้เห็นชีวิตของผู้คนที่ล่มสลายหลังเหตุการณ์สึนามิ สะท้อนให้เห็นเลยว่า แม้โลกจะเน่าแค่ไหน เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ อย่าจมปลักกับอดีต จนทำลายวันเวลาที่เหลืออยู่

ดาราเด็กสองคนเล่นเก่งมาก ทำให้หนังอืดเครียดน่าติดตามจนจบ ดูไปก็บ่นไป "มันบ้ามาก!"

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

how many other things are we missing?

Long article but worth reading. Pls spare your time and enjoy.

“A man sat at a metro station in Washington DC and started to play the violin; it was a cold January morning. He played six Bach pieces for about 45 minutes. During that time, since it was rush hour, it was calculated that 1,100 people went through the station, most of them on their way to work.

Three minutes went by, and a middle aged man noticed there was musician playing. He slowed his pace, and stopped for a few seconds, and then hurried up to meet his schedule.

A minute later, the violinist received his first dollar tip: a woman threw the money in the till and without stopping, and continued to walk.

A few minutes later, someone leaned against the wall to listen to him, but the man looked at his watch and started to walk again. Clearly he was late for work.

The one who paid the most attention was a 3 year old boy. His mother tagged him along, hurried, but the kid stopped to look at the violinist. Finally, the mother pushed hard, and the child continued to walk, turning his head all the time. This action was repeated by several other children. All the parents, without exception, forced them to move on.

In the 45 minutes the musician played, only 6 people stopped and stayed for a while. About 20 gave him money, but continued to walk their normal pace. He collected $32. When he finished playing and silence took over, no one noticed it. No one applauded, nor was there any recognition.

No one knew this, but the violinist was Joshua Bell, one of the most talented musicians in the world. He had just played one of the most intricate pieces ever written, on a violin worth $3.5 million dollars.

Two days before his playing in the subway, Joshua Bell sold out at a theater in Boston where the seats averaged $100.

This is a real story. Joshua Bell playing incognito in the metro station was organized by the Washington Post as part of a social experiment about perception, taste, and priorities of people.

The outlines were: in a commonplace environment at an inappropriate hour: Do we perceive beauty? Do we stop to appreciate it? Do we recognize the talent in an unexpected context?

One of the possible conclusions from this experience could be: If we do not have a moment to stop and listen to one of the best musicians in the world playing the best music ever written, how many other things are we missing?

Moleskine เธอมีดีอะไร?

Moleskine โมเลสกิเน่ (หรือที่หลายคนอ่านว่า โมเลสกิน) ขอจัดให้เป็น Luxury Notebook หรือสมุดโน้ตไฮโซสัญชาติอิตาลี สนนราคาเล่มหนึ่งตกห้าร้อยขึ้น มันต้องมีดีสิน่ะ ไม่งั้นจะขายราคาขนาดนี้ได้ไง โดยเฉพาะในยุคที่คนแทบไม่ได้จับปากกาดินสอกันแล้ว

เมื่อวานได้ดูสารคดี ใช่ค่ะ สารคดีว่าด้วยสมุดโน้ตในตำนานเล่มนี้นี่แหละ ไม่ธรรมดาทีเดียวเชียว สมุดปกแข็งดำๆ เรียบๆ ธรรมดา โลโก้เป็นตัวหนังสือปั๊มบนปก ไม่โดดเด่นเลิศหรู แต่ทำให้ดูดีมีรสนิยมขึ้นมาได้เหนือสมุดโน้ตทั่วไป น่าจะเป็นเพราะการตลาดดี CRM เป็นเลิศ ออกแบบมาหลาย collection เข้ากับตลาดหลายกลุ่ม

ที่โดดเด่นน่าจะเป็นงาน Annual Detour ที่จัดขึ้นตามเมืองใหญ่ ให้ผู้ใช้มาโชว์เรื่องราว ความคิดสร้างสรรค์จากปลายปากกา/ดินสอ ที่ถ่ายทอดบันทึกลงในสมุดโน้ตยี่ห้อนี้ ไม่เชื่อลอง search ใน YouTube ดูสิ แล้วคุณจะพบว่า คนที่ใช้สมุดโน้ตยี่ห้อนี้ ช่างเจ๋งจริง

สนใจอ่านบทความนี่ดูก็ได้ วิเคราะห์กันเป็นเรื่องเป็นราว :)
- MOLESKINE สมุดบันทึกมีชีวิต
- Moleskine สมุดบันทึกในตำนาน

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ใครโง่กว่าใคร

ชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางมอมแมม เดินตระเวนขอทานในตลาด เขาสวมเสื้อผ้าเก่าขาดรุ่งริ่ง ดูท่าเหมือนจะสติไม่ดี ชาวบ้านยื่นเงินให้ มีทั้งเหรียญสิบเหรียญห้า ชายขอทานเลือกหยิบแต่เหรียญห้า ชาวบ้านพากันหัวเราะ ชี้ชวนกันดู หลายคนทดลองยื่นเงินให้เขา ชายขอทานก็จะหยิบแต่เหรียญห้าทุกครั้ง

ชายหนุ่มคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว เดินเข้าไปถามขอทานหนุ่ม "เจ้าโง่ เหรียญสิบเหรียญห้ายังแยกไม่ออกอีกรึ"

ชายขอทานเหล่มองแวบนึง สายตาที่เคยดูเลื่อนลอยพลันแพรวพราวดูเจ้าเล่ห์ "ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น พวกเขาจะแข่งกันให้เงินผมงั้นเหรอ"

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประชาธิปไตยหรือเผด็จการครอบครัว

นั่งคิดดูเล่นๆ ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่ปกครองโดยตระกูลเดียว

คิวบา: Fidel Castro -> Raúl Castro (น้อง)
ปารากวัย: Carlos Antonio López > Francisco Solano López (ลุก)
เอลซาวาดอร์: Carlos Meléndez > Jorge Meléndez (น้อง) > Alfonso Quiñónez Molina (เขย)
นิคารากัว: Anastasio Somoza García > Luis Somoza Debayle (ลูก) > Anastasio Somoza Debayle (น้อง)
ไฮติ: François Duvalier > Jean-Claude Duvalier (ลูก)
เกาหลีเหนือ: Kim Il-sung (ปู่) > Kim Jong-il (พ่อ) > Kim Jong-un (ลูก)
ซีเรีย: Hafez al-Assad > Bashar al-Assad (ลูก)

ดูซิว่ามีประเทศไหนเป็น "ประชาธิปไตย" บ้าง แบบนี้เขาเรียก Family dictatorship ค่ะ

ประเทศไทยก็คงจะติดอันดับเร็วๆ นี้ ทักษิณ > สมชาย (เขย) > ยิ่งลักษณ์ (น้อง) > พานทองแท้ (ลูก)???

นี่หรือประชาธิปไตยที่พวกคุณเสื้อแดงต้องการ???

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

ดอกไม้กับชายตาบอด

หญิงสาวคนหนึ่ง เดินทางมายังเมืองที่ไม่คุ้นเคย เธอพบบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งมีสวนดอกไม้สวยอยู่หน้าบ้าน ใจอดชื่นชมไม่ได้และพลางคิดว่า เจ้าของบ้านนี้เก่งจัง จัดสวนดอกไม้ได้สวยเหลือเกิน

สักพัก มีชายคนหนึ่งเดินออกจากบ้าน ในมือหิ้วถังน้ำและเริ่มรดน้ำต้นไม้ ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจคือ ชายผู้นั้นตาบอด!

หญิงสาวจึงเดินตรงเข้าไปทักทาย และสุดท้ายก็อดถามไม่ได้ว่า "ขอถามหน่อยเถอะค่ะ ที่จริงคุณเองก็มองไม่เห็นดอกไม้ ทำไมถึงยังลงทุนลงแรงจัดสวนดอกไม้อีกล่ะคะ"

"ผมบอกเหตุผลให้คุณฟังได้สามข้อ" ชายตาบอดกล่าว "ข้อแรก ผมชอบกลิ่นหอมของดอกไม้ ข้อสอง ผมอาศัยการสัมผัสก็รับรู้ถึงสภาพความเจริญเติบโตของมันได้ เท่านี้ผมก็ชื่นใจแล้ว"

"แล้วข้อสามล่ะคะ" หญิงสาวถาม

"ก็สวนดอกไม้ที่สวยงามนี้ไงล่ะ ที่ทำให้หลายคนเริ่มเป็นฝ่ายพูดคุยกับผมก่อน วันนี้คุณก็เป็นคนที่สามแล้วล่ะ"

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

เรียนเป็น "คุณโสมือโปร"

ถ้าถามอากู๋ว่า ประเทศไหนมีโสเภณีมากที่สุดในโลก รับรองว่า ประเทศไทยอันเป็นสุดที่รักของเราได้ติดโผแน่ อย่าหน้าบางปฏิเสธเลย มันเป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ต้องขอบคุณพัฒน์พงษ์ พัทยา ป่าตอง บาร์เบียร์ อะโกโก้ และอีกสารพัด

พูดกันตามตรง อาชีพนี้อยู่คู่โลกมานานแล้ว เป็นการค้าเก่าแก่อย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ แค่ประเทศไหนจะกล้าฟันธงให้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายเท่านั้น

หลายประเทศมีกฎหมายรองรับให้ค้าประเวณีได้ (และมีการจัดระเบียบเป็นเรื่องเป็นราวด้วย) เช่น เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ หรือฮังการี แต่บางประเทศก็แปลก อย่างสวีเดน นอร์เวย์ กฎหมายจะไม่เอาเีรื่องคนเสนอขาย แต่จะเอาผิดคนซื้อแทน เพราะกฎหมายเขาห้าม pay for sex

แล้วพี่เบิ้มอย่างอเมริกาล่ะ ดินแดนที่ใครๆ ก็ว่า Free Sex แต่น่าแปลกที่การค้าประเวณีในอเมริกากลับเป็นเรื่องผิดกฎหมายแทบทุกรัฐ ยกเว้นเนวาดา แหม ก็ลองบอกว่า ลาสเวกัสห้ามขายประเวณีสิ ใครจะเชื่อ เมืองคนบาปซะขนาดนั้น

เถิบไปดูทางฝรั่งอัฟริกาบ้าง น่าแปลกที่ประชากรที่ประกอบอาชีพนี้ดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้น อาจเพราะยากจน ไร้การศึกษา จึงจำต้องประกอบอาชีพนี้ก็ได้ และหลายประเทศในอัฟริกาก็เริ่มเปิดเสรีเรื่องนี้มากขึ้น และด้วยเหตุนี้เอง อัตราการติดเชื้อ HIV ในทวีปนี้ถึงเพิ่มขึ้นมากมายเหลือหลาย โดยเฉพาะในอูกันด้าและเคนยา

ไม่พูดถึงเอเชียบ้านเราก็จะหาว่าหลีกเลี่ยง ประเทศไทย แน่นอนว่ามันผิดกฎหมายที่จะเปิดซ่องนางโลม แต่บอกว่าไม่มีซ่องมั้ย อมพระมาพูดทั้งประเทศก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ที่น่าเจ็บใจก็ตรงที่ Thailand is one of the top destination for sex tourism นี่สิ อยากจะกรี๊ด นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องตกเขียวเลยนะ Child prostitution ถือเป็นปัญหาใหญ่ในภูมิภาคนี้ทีเดียว

เกริ่นนำมาซะเยอะ แต่ที่จะพูดถึงวันนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง อึ้งไปทั่วโลก ไหนๆ อาชีพนี้ก็มีคู่ฟ้าเมืองอมรมานาน แต่ไม่ได้มีการเรียนการสอนเป็นเรื่องเป็นราว ชาวสเปนก็เลยลุกขึ้นมาเปิดคอร์สสอนบุคคลทั่วไปให้เป็น "มือโปร" ด้านกามสูตรกันซะเลย แถม guarantees a job offer on graduation รับประกัน จบแล้วมีงานทำทันที!

คนที่จะลงทะเบียนหลักสูตรนี้ จะต้องเรียนหนึ่งสัปดาห์ วันละสองชั่วโมง และต้องควักเงินจ่ายค่าลงทะเบียนกว่า 100 ยูโร หรือประมาณห้าพันบาท และจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโสเภณีโลก เรียนรู้วิธีเล่นรักตามหลักกามสูตร และได้รู้จักกับสารพัดเครื่องมือทำมาหากิน ที่นอกเหนือไปจากที่นาผืนน้อยของตัวเอง จะอะไรซะอีก ก็พวกของเล่นวิตถารนานาชนิดไงล่ะ

นอกจากข้อมูลในการทำมาหากินแล้ว พวกที่เรียนจะได้สัมผัสจริงๆ ว่า ในโลกความเป็นจริง อาชีพนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง จะหาเงินได้มากได้ง่ายได้ยังไง รวมถึงจะประกอบอาชีพยังไงให้ปลอดภัยด้วย

และไม่ได้พูดเล่นนะ คอร์สนี้ไม่ได้เปิดรับเฉพาะสตรีเพศเท่านั้น ผู้ชายก็รับค่ะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว!

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

เปลี่ยนกรุงเทพฯ เป็นเมืองจักรยาน

จริงๆ การจะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองจักรยาน คงต้องใช้เวลาอีกนาน ต้นไม้ต้องเยอะ เลนจักรยานต้องมี การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะก็ต้องดีกว่านี้ และอีกสารพัดปัจจัย โดยเฉพาะปัญหามลพิษ

เอาง่ายๆ ว่า ลำพังมหา'ลัย ห้ามนิสิต-นักศึกษาขับรถ และรณรงค์ให้ปั่นจักรยานแทน หรือเอาแค่การเดินทางภายในมหา'ลัยด้วยสองล้อถีบได้ก็บุญโขแล้ว

อย่างจุฬาฯ ตั้งอยู่กลางใจเมืองซะขนาดนี้ รถไฟฟ้าก็มี ใต้ดินก็มี รถเมล์อีกสารพัดสาย เรียกว่าขนส่งสาธารณะเอื้ออำนวยมากๆ ถ้านิสิตหันมาปั่นจักรยานในมหา'ลัย ก็ลดจำนวนรถยนต์ได้เพียบแล้ว ต้นไม้ก็เยอะ ทำเป็นต้นแบบ "Bike Zone" ยังได้

ค่อยๆ เปลี่ยนทีละจุด เริ่มจากในรั้วมหาวิทยาลัยก่อน แล้วมันจะกระเพื่อมกระจายต่อไปเอง

ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง

"When you realize how perfect everything is, you will tilt your head back and laugh at the sky."

คำกล่าวข้างต้น ฝรั่งอ้างว่าเป็นพุทธวจนะ (The Buddha) แต่ไม่น่าใช่ เพราะหาแหล่งอ้างอิงไม่ได้ (ถ้าใครรู้ วานบอก) แต่ชอบนะ ไม่ใช่ไม่ชอบ

มีคนอธิบายความได้ดีทีเดียว Since everything is but an illusion, Perfect in being what it is, Having nothing to do with good or bad, acceptance or rejection, one might as well burst out laughing!

ทุกอย่างล้วนเป็นมายา สมบูรณ์ในตัวเอง จะดีจะชั่วก็ช่าง จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ บางคนอาจหัวร่องอหาย เพราะเรามัวแต่เสียเวลา มัวแต่สงสัย พิสูจน์นู่นนั่นนี่โน่น แท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรเลย นอกจากความโง่เขลาของเราเอง

อืม ถ้าตัดส่วน "หัวเราะ" ออก จะว่าไปก็อาจเข้าข่าย "ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง" ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้านะ :)

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

คุณครูในดวงใจ

หลายคนคงมีคุณครูในดวงใจ ยังจำท่านได้มั้ย (ถึงจะนานมากแล้วก็เถอะ ฮา) สมัยประถม-มัธยมมี คุณครูสายหยุด ดุมาก.ก.ก.ก.. ครูรัตติยา สอนพิเศษเลขให้ ครูมาโนชสอนพละ ครูใหญ่กับลูกสาว ครูพจนีย์สอนสังคมและประจำห้องสมุด ใจดีสุดๆ และอีกหลายท่านที่แม้จะนึกชื่อไม่ออก แต่ยังจำหน้าตาได้แม่นยำ

ที่บพิตรต้อง อ.เทียมจันทร์ ที่เข็นภาษาฝรั่งเศสนักเรียนสุดๆ เพราะเป็นรุ่นแรก เรียนกันอาทิตย์ละหกคาบ หนักกว่าตอนเรียนจุฬาฯ อีก สมัยมหา'ลัยมี อ.เริงรัชนี ดร.สุรภี อ.สังวรณ์ อ.พรทิพย์ที่ปรึกษา อ.จันทร์ทรงกลดสุดสวย สอนโฟเนติก อ.นิรันดร์ขาโหด อ.วิภาคู่ปรับ (ถึงขั้นไปสวดมนต์ไหว้พระที่วัดไร่ขิง ให้อ.เห็นความดีของเรา และหันมาชอบเรา ได้ผลจริงๆ นะ หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มาก ฮ่า) อ้อ ยังมีอาจารย์แม่ สุณีย์ สินธุเดชะอีกคน ลืมได้ไง

นึกไปก็ยิ้มไป วีรกรรมสมัยเรียนก็เยอะอยู่ ได้นำสวดมนต์ตอนเย็น ยืนนำร้องเพลงชาติหน้าเสาธง และเคยโดนตีหน้าเสาธงด้วย ยังมีอีกสารพัด สมัยเรียนน่าจะเป็นความทรงจําที่ชวนยิ้มได้มากที่สุด :D

ขอบพระคุณคุณครูทุกท่าน ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ อบรมสอนสั่ง ให้ลูกศิษย์ได้ดีจนทุกวันนี้ ขอบคุณค่ะ

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

Salmon Fishing in the Yemen

ถ้าเป็นปลา อยากจะว่ายไปทางไหน อยากเป็นปลาคาร์ฟที่ว่ายวนเวียนอยู่แต่ในบ่อ หรือปลาแซลมอนที่เลือกจะว่ายทวนน้ำไปวางไข่ ปลาทั้งสองประเภทต่างดำรงชีวิตตามสัญชาตญาณธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

แต่มนุษย์ไม่ใช่ปลา มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางที่ถูกกำหนดเสมอไป หากมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง เราย่อมเลือกวิถีของเราเองได้ แม้สิ่งแวดล้อมจะบีบให้เราต้องไปทางหนึ่ง แต่หากเราเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ เรื่องมหัศจรรย์ย่อมเกิดขึ้นได้

Salmon Fishing in Yemen หนังที่ไม่น่าจะเข้าข่าย Romantic Comedy เลยสักนิด

ปล. หนังเรื่องนี้ทำเอาการท่องเที่ยวเยเมนปวดหัวเลย มีแต่คนอยากจะไปตกปลาแซลมอนที่นั่น จนต้องออกมาประกาศว่า ที่นี่ไม่มีแซลมอนให้ตกเยอะขนาดน้านนนน ฮ่าๆๆ

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

New Year Resolution

แม่ฝรั่งถามลูก What's your new year resolution? ปณิธานปีใหม่ของลูกคืออะไรจ๊ะ ลูกทั้งสองของเธอตอบว่า I want to learn...

น่าปลื้มที่เด็กอยากเรียนรู้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นวิชาการ อะไรก็ได้ จะเรียนทำขนม หัดทำกับข้าว หัดเล่นกีตาร์ เรียนภาษาต่างประเทศเพิ่ม ฝึกภาษาจีนให้มากขึ้น ซ้อมเทควันโดอาทิตย์ละสองครั้ง เรียนขี่ม้า อ่านหนังสือให้ได้เดือนละเล่ม ฯลฯ การเรียนไม่เคยสิ้นสุด อยากเห็นเด็กไทยอยากเรียนรู้เยอะขึ้น

จะว่าไปแล้ว New Year Resolution หรือปณิธานปีใหม่ของคนส่วนใหญ่มักมีอยู่แค่ไม่กี่ประเภท นำลิ่วมาเลยคงไม่พ้นเรื่องของหัวใจ (มีเวลาให้แฟนมากขึ้น) ตามด้วยสุขภาพ (ออกกำลังกายมากขึ้น จะลดน้ำหนัก) อาชีพการงาน การเงิน ครอบครัว (ให้เวลากับพ่อแม่มากขึ้น) และการทำความดี (อยากลองออกค่ายอาสา)

ที่น่าสนใจคือ ฝรั่งจะมีเรื่องการศึกษาติด TOP list มาด้วย แถมเป็นอันดับที่ 6 มาก่อนทำความดีซะอีก อย่างที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ การศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องวิชาการ อาจเป็นการเรียนรู้หรือหัดทำสิ่งใหม่ๆ งานอดิเรกใหม่ๆ ก็ได้ แม้แต่ "หัดฟังผู้อื่น" ก็ถือเป็นปณิธาณได้ น่าสนใจทีเดียว

สำหรับคนจีน ปณิธานปีใหม่คงตรงกับคำว่า 新年计划 (xīnnián jìhuà) มากที่สุด และคนจีนก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป สองอันดับยอดนิยมคือ 减肥 (jiǎnféi) ลดน้ำหนัก กับ 多运动 (duō yùndòng) ออกกำลังกายให้มากขึ้น

นอกจากเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ แล้ว การ "ลด-ละ-เลิก" ก็เป็นปณิธานได้เหมือนกัน เช่น เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มเหล้า เลิกช็อปปิ้ง เลิกสบถ ทำงานให้น้อยลง ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นต้น

แล้วปณิธานปีใหม่ของคุณล่ะ คืออะไร?