วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Happiness 幸福

幸福分很多种....

有些幸福是找来的....
有些幸福是追来的....
有些幸福是借来的....
有些幸福是一天一天累积出来的....

你的幸福呢?

There're many kinds of happiness...
Happiness to be found...
Happiness to be chased...
Borrowed happiness...
or accumulated, day by day...

How about yours?

ความสุขมีหลายประเภท...
บ้างต้องค้นหา...
บ้างต้องไล่ตาม...
บ้างต้องอาศัยผู้อื่น...
บ้างเกิดจากการสะสมสุขในแต่ละวัน

แล้วความสุขของคุณล่ะ...เป็นแบบไหน?

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Gender-Shopping in HK

อ่านเจอข่าวน่าเศร้า "Mothers-to-be go gender-shopping in Hong Kong" หรือ "Moms-to-be in rush to HK for fetus sex tests before it's too late" อะไรกันเนี่ย!

ในประเทศจีน กฎหมายสั่งห้ามหมอไม่ให้ตอบคำถามยอดฮิตของคุณพ่อคุณแม่ว่า "Is it a boy or a girl?" บรรดาคุณแม่เลยต้องเช็คเพศลูกให้แน่ใจ แน่นอนอยู่แล้วว่า คนจีนย่อมต้องการทายาทสืบสกุล ในเมื่อรัฐบาลจีนอนุญาตให้มีลูกได้เพียงคนเดียว ครอบครัวย่อมปรารถนาจะได้ลูกชายไว้สืบสกุล พ่อแม่ย่อมปรารถนาจะเลือกเพศลูกล่วงหน้า

แต่ในเมื่อกฎหมายห้ามหมอจีนแผ่นดินใหญ่ตอบคำถามนี้ คำยอดฮิตที่ค้นหากันใน Google จึงเป็น "fetus sex identification" และคำตอบส่วนใหญ่ล้วนชี้มาที่ศูนย์บริการทางแพทย์ในเสิ่นเจิ้น ที่มีพรมแดนติดฮ่องกงทั้งสิ้น

ในเขตปกครองพิเศษเสิ่นเจิ้น จะมีบริการ "go gender-shopping" พาคุณแม่ไปตรวจเพศลูกที่ฮ่องกง แค่ห้าพันกว่าหยวน หรือประมาณสองหมื่นกว่าบาท (แต่ถ้าทารกในครรภ์อายุเกิน 8 สัปดาห์ จะต้องเสียค่าบริการเพิ่มอีกพันหยวน) ไม่กี่วันคุณก็จะรู้แล้วว่า ทารกในครรภ์เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ที่รับรองผลมากถึง 98% บางคลินิกรับประกัน 99.4% เลยด้วย

พ่อแม่จีนยอมจ่าย...จะได้ทันการ

จะได้ทันการ!

ใช่...จะได้ "terminate" หรือกำจัดเจ้าตัวน้อยในครรภ์ได้ทันก่อนจะลืมตาออกมาดูโลก!
...บนแผ่นดินที่ต้องการแต่ลูกผู้ชาย!

ก่อนหน้านี้ บรรดาแม่ๆ ยังบินไปตรวจเพศและคลอดลูก (หรือทำแท้งหากไม่ใช่เพศที่ปรารถนา) ที่ฮ่องกงได้ แต่ในอนาคตอันใกล้ จีนจะออกกฎหมายห้ามแม่ตั้งครรภ์เดินทางไปคลอดลูกที่ฮ่องกงแล้ว ฉะนั้น ยิ่งรู้ไว รู้แต่เนิ่นๆ ยิ่งทันการ!

ทุกปีจะมีทารกหญิงตายเพราะทำแท้งมากถึงล้านคน ไม่นับที่แจ้งว่าสูญหายอีกเป็นหมื่นเป็นแสน!

การทำแท้ง "ที่แม้จะเสียใจแต่ก็ต้องทำ" เพราะแรงกดดันจากนโยบายลูกคนเดียว และความเชื่อเรื่องมีทายาทชายไว้สืบสกุล จึงเป็นเหตุให้ประชากรชาย-หญิงในจีนไม่สมดุลอย่างน่าตกใจ และไม่สมดุลมากที่สุดในโลกด้วยอัตราส่วน ชาย 120 ต่อหญิง 100 คน (นี่ยังไม่น้บพวกชายเบี่ยงเบนนะ เร็วๆ นี้เพิ่งมีข่าว ชาย-ชายแต่งงานกันในจีนเป็นคู่แรก และเชื่อว่าจะมีตามมาอีกแน่นอน)

มันเป็นยังไงกันนะ...
มันเป็นยังไง...

อ่านข่าวแล้วมีแต่คำถามวนเวียนในหัว มีลูกสาวมันไม่ดีตรงไหน? สมัยนี้ผู้หญิงเก่งมากมาย สืบทอดกิจการก็ได้ แต่งผู้ชายเข้าบ้านก็ได้ มีเหตุผลมากมายสารพัดที่จะหยิบยกมาอ้างว่า ทำไมถึงไม่ควรทำแท้ง

กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนด มันแก้ไขได้ ถ้าอนุโลมให้ครอบครัวไหนที่มีลูกคนแรกเป็นลูกสาว สามารถมีลูกได้อีกคน แต่งานนี้จะเป็นหญิงหรือชายก็ต้องยอมรับแล้วนะ สองคนปิดอู่!

หรือถ้ากลัวปริมาณประชากรจะล้นโลก ก็เน้นนโยบายคุมกำเนิดสิ เรื่องอื่นยังห้ามกันได้เลย แถมสมัยนี้คนยิ่งมีลูกยากอยู่ อินเดียยังมีรับจ้างอุ้มบุญเลย ขึ้นทะเบียนเด็กไว้ให้ผู้ที่อยากมีลูกแต่ไม่มีมาขอรับเลี้ยงก็ได้ หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีกว่านี้ และมีศีลธรรมกว่านี้

กว่าจะได้โอกาสมาเกิดในท้องคนก็ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่รู้ต้องสะสมความดีเท่าไหร่ถึงจะได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วทำไมถึงจะทำร้ายทำลายกันง่ายจัง - -"

.

ที่มา:
http://www.globaltimes.cn/content/729467.shtml
http://www.scmp.com/news/china/article/1051897/mums-be-rush-fetus-sex-tests

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

FUR, beautifully freaking sad

เมื่อนิโคล คิดแมนกับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ สองดาราคุณภาพแห่งฮอลีวูด เลือกที่จะแสดงภาพยนตร์เรื่อง "FUR" แสดงว่าบทจะต้องมีดีสิน่ะ

ชื่อเต็มๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus ฉันไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อดิแอน อาร์บัส มาก่อน มารู้จากในหนังว่า เธอคือผู้พลิกประวัติศาสตร์วงการถ่ายภาพอเมริกา ที่วงการศิลปะยกให้เธอเป็นศิลปินที่ลึกลับและโดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่ 20

เรื่องนี้เกริ่นตั้งแต่ต้นว่า เนื้อหาในเรื่อง beyond reality ที่ทางทีมผู้สร้าง "เชื่อ" ว่า ดิแอน อาร์บัสน่าจะเคยมีประสบการณ์ หรือพบเจอบุคคลเหล่านี้ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอสร้างสรรค์ผลงานน่าทึ่งที่สุดในยุคนั้น (จุดเด่นในงานเขียนของเธอคือ ภาพมนุษย์ประหลาด)

ดิแอน (นิโคล คิดแมน) บุตรสาวเศรษฐีชาวยิว ภรรยาช่างภาพ เธอช่วยอลัน (ไท เบอร์เรล) สามีเตรียมการถ่ายภาพ จะเรียกว่าเป็นสไตลิสต์ให้งานของสามีก็ว่าได้ ชีวิตเธอเปลี่ยนไปเมื่อมีเพื่อนบ้านย้ายเข้ามาใหม่ ลิโอเนล (โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์) ผู้ผิดแปลกไปจากผู้คนทั่วไปเพราะโรคทางกรรมพันธุ์ Hypertrichosis หรือเรียกกันมากกว่าว่า Werewolf syndrome

ลิโอเนลเป็นโรคประหลาด ขนจะขึ้นดกเต็มตัวเหมือนมนุษย์หมาป่า ในยุคที่ละครสัตว์เฟื่องฟู คนที่ป่วยเป็นโรคพิสดารนี้ (รวมถึงคนที่ผิดแปลกไปจากมนุษย์อื่นๆ เช่น สูงเป็นเปรต หรือเตี้ยเป็นคนแคระ แฝดสยาม ฯลฯ) จะเป็นดาราเด่น เป็นตัวชูโรงของคณะ ในโลกของลิโอเนล จึงมีมิตรสหายที่ล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดทั้งสิ้น

เมื่อดิแอนได้พบกับลิโอเนล โลกของเธอก็เปลี่ยนไป จากโลกคุณหนู แม่บ้านผู้แสนดี เธอได้พบเจอกับผู้คนแปลกประหลาดมากมาย และยังได้พบกับความโรแมนติคอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับชายผู้เป็นสามีมาก่อน

เรื่องนี้ไม่ได้จะเน้นความสัมพันธ์เชิงชู้สาว (แม้บางสื่อจะชวนให้เชื่อว่า มีฉากรักโจ๋งครึ่มแบบโป๊หมดเปลือกก็เถอะ) จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ ความเมตตาที่มนุษย์พึงมีต่อกัน ไม่ว่าเขาจะผิดแปลก หรือไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป หนังไม่ได้หวือหวา แต่ค่อยๆ ละเลียดให้เราได้ซึมซับความเศร้าที่งดงาม เป็นความเศร้าแบบพิลึก ที่ทำให้ฉันนึกถึงคำว่า "beautifully freaking sad" และต้องลุกขึ้นมาขีดเขียนวันนี้

โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นดาราที่แสดงออกด้วยดวงตาได้อย่างงดงามที่สุด หนังสามดาว (อย่างที่นักวิจารณ์ว่า) แต่กลับเป็นหนังที่ฉันว่าดีกว่าหนังห้าดาวบางเรื่องเสียอีก

คลิกดูผลงานของดิแอนได้ที่ The Photography of Diane Arbus

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หนึ่งวันกับมูราคามิ

หนึ่งวันกับมูราคามิ และรักเร้นในโลกคู่ขนาน ที่อบอวลไปด้วยความเหงากลมกล่อม ฉบับพิมพ์ใหม่โดย สนพ กำมะหยี่

เรื่องราวของสุมิเระ สาวน้อยผู้หลงรักมิวที่มีอายุมากกว่าถึง 17 ปี แถมเป็นสตรีเพศ! กับ "ผม" เพื่อนคู่คิดของสุมิเระที่คิดมากกว่าเป็นแค่เพื่อน และกระหายอยากที่จะได้สืบสัมพันธ์กับเธอ ชะตาชีวิตของสามคนกับสามความเหงา ในโลกแห่งความจริงและโลกคู่ขนาน ดำเนินได้อย่างน่าติดตาม กลมกล่อม ละเมียดละไม

เป็นเล่มแรกที่ทำความรู้จักกับมูราคามิอย่างเป็นทางการ และบอกได้เลยว่า ไม่ผิดหวังจริงๆ ในบางถ้อยคำที่คุณนพดล เวชสวัสดิ์แปลออกมา มันได้ความรู้สึกจนอยากรู้ว่า ต้นฉบับเขียนว่ายังไง

มูราคามิ สมแล้วที่เป็นราชาแห่งถ้อยคำ ตัวหนังสือของเขาแฝงไปด้วยความเหงาเดียวดาย แต่ไม่เศร้าอะ น่าแปลกมั้ยล่ะ! หรือคนอื่นอ่านแล้วเศร้าก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆ

นอกจากถ้อยคำพรรณาที่น่าทึ่ง หนังสือเล่มนี้ยังสอดแทรกข้อคิดดีๆ มากมาย ชอบอยู่หลายบท อยากบันทึกเก็บไว้เตือนความจำ เพราะถ้าให้พลิกหาอีกที คงใช้เวลากว่าจะเจอ

สรรพสิ่งที่เราคิดว่ารู้จักถ่องแท้แล้ว จะแฝงซ่อนอยู่ด้วย 'ตัวแปรไม่รู้ค่า' ในปริมาณมากเท่าเทียมกัน ความเข้าใจมิใช่ใดอื่น นอกจากผลรวมของความเข้าใจผิด ... ในโลกที่เราอาศัยอยู่ 'สิ่งที่เรารู้' และ 'สิ่งที่เราไม่รู้' ไม่ต่างไปจากแฝดสยาม แยกกันไม่ออก ดำรงอยู่ร่วมกันในภาวะขัดแย้งสับสน

มนุษย์ใช้ชีวิตตามเส้นทางของตน จนกว่าวงโคจรจะทาบทับวงโคจรของใครอื่น แต่สุดท้ายต่างคนก็ต้องไปตามวงโคจรของตน เพียงแต่ชั่วระยะเวลาที่วงโคจรทาบทับกันนั้น เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำหรือไม่ ตักตวงความสุขจากห้วงเวลานั้นได้กี่มากน้อย และยอมรับเมื่อถึงเวลาต้องจากกันหรือเปล่า

แถมอีกบท ไม่ว่าความสูญเสียจะสาหัส หรือเจ็บปวดสักเท่าใด ไม่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดจะพรากไปจากชีวิตของเรา บางคราวก็ถูกยุดยื้อกระชากไปจากมือ เราอาจเปลี่ยนเป็นอีกคนที่ยังสวมหน้ากากเค้าเดิม ชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป...ในความเงียบงัน

ชอบที่คุณวิกรานต์เปรียบเปรยในบทส่งท้าย...
หนังสือเล่มนี้รวยรินกลิ่นความเหงารุนแรงราวกับ Chanel No.5

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Expiry date, way beyond numbers!

น่าทึ่งมากกับ Creative Food Expiration Technology นักออกแบบชื่อ Ko Yang (เดาว่าเป็นชาวอาทิตย์อุทัย) ได้ออกแบบกล่องนมพิเศษ ที่สีของกล่องจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อใกล้วันหมดอายุ ช่วยให้สังเกตได้ง่ายเวลาอยู่ในตู้เย็น ไม่ต้องเปิดดมกลิ่นเน่าบูด

นอกจากไอเดียจะเจ๋งแล้ว ยังขี้เล่นและซ่อนความน่ารักไว้ด้วย กล่องสีขาวของนมจะค่อยๆ เปลี่ยนจนสีออกส้มๆ แถมมีรูพรุนเหมือนชีสด้วย From Milk to Cheese แต่ชีสจริงๆ กินได้นะ ไม่ได้ทำจากนมบูดเน่าเสีย เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน

ไอเดียนี้ไม่ได้เพิ่งมีเร็วๆ นี้นะคะ แต่เป็นโครงการ "Expiry date, The Things Far Away Beyond Numbers by Ko Yang" ที่มีมาตั้งแต่ปี 2008 นู่นน่ะค่ะ

นอกจากกล่องนมยังมีป้ายราคาที่แปะตามสินค้าสดด้วย อย่างเนื้อที่แพ็คขายในซุปเปอร์ จะเห็นว่าป้ายราคาจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เข้มจนไม่สามารถอ่านบาร์โค้ดได้

Fresh Label หรือฉลากเปลี่ยนสีได้นี้ได้รับรางวัลตั้งแต่ปี 2009 คิดค้นขึ้นโดยบริษัท To-Genkyo, Japan ที่คว้ารางวัลการออกแบบผลิตภัณฑ์มามากมาย Mission ของบริษัทน่าสนใจทีเดียว We make a small utopia of daily life. TO-GENKYO gropes for the idea that improves living.

เขาอธิบายหลักการง่ายๆ ว่า เนื้อสด เมื่อเริ่มเก่าจะปล่อยก๊าซแอมโมเนียออกมาเรื่อยๆ และพอทำปฏิกิริยากับกระดาษพิเศษที่ใช้หมึกธรรมชาติปลอดสารพิษ ที่สกัดจากเม็ดสีของกะหล่ำปลีม่วง (ซึ่งไวต่อปฏิกิริยาของก๊าซแอมโมเนียเป็นพิเศษ) ฉลากจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนบังตัวบาร์โค้ด และนำไปสแกนขายไม่ได้ แถมยังออกแบบได้กิ๊บเก๋ ใช้รูปนาฬิกาทราย ที่เป็นตัวแทนบอกเวลาที่ใกล้จะหมดไปเรื่อยๆ ด้วย สมควรยกนิ้วให้จริงๆ

เมื่อไหร่บ้านเราจะมีใครคิดทำอะไรสร้างสรรค์แบบนี้ เพื่อผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ บ้างน้อ...

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กล่องที่ยังไม่แกะ

ในชีวิตหนึ่ง คงไม่มีใครได้แกะกล่องทุกใบที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีกล่องหลายใบที่เราไม่รู้หรอกว่าแกะแล้วจะเป็นไง ของในกล่องจะสวยงาม น่าเกลียดน่ากลัว หรือในนั้นจะมีแต่ความว่างเปล่า

หากกล่องใบนั้นยังอยู่ในมือคุณ อยากจะบอกให้คุณรีบแกะทันทีที่ยังมีโอกาส เพราะกล่องแต่ละใบไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป แกะออกมาแล้วว่างเปล่า ยังดีกว่าไม่ได้แกะมันอีกเลย

แต่รู้อะไรไหม อย่าโทษตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการให้กล่องที่ยังไม่ได้แกะในจังหวะนั้น มาส่งผลกระทบต่อชีวิตทั้งชีวิต เพราะคุณไม่ได้ทำกล่องหลุดมือ คุณไม่ได้ทิ้งขว้างกล่องใบนั้น เปล่าเลย...มันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เหนือการควบคุม

ระหว่างที่คุณดำเนินชีวิตอยู่ตอนนี้ คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น กล่องใบนั้นจะหายสาบสูญไปจากชีวิตคุณตลอดกาลหรือเปล่า มีแต่คนเขียนบทชีวิตคุณเท่านั้นที่รู้

และเขาคงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้น เป็นเหตุผลที่คุณไม่มีวันรู้ และอาจไม่จำเป็นต้องรู้ มันไม่เกี่ยวกับความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมเลย มันแค่เป็นไปอย่างที่ต้องเป็น

ในโลกนี้มีอยู่สองสิ่งใหญ่ สิ่งที่เราเลือกได้ กับสิ่งที่เราเลือกไม่ได้
และนั่นคือความจริงของชีวิต

สิ่งที่เราเลือกไม่ได้มีมากมาย คุณลือกเกิดไม่ได้ เลือกพ่อเลือกแม่ไม่ได้ เลือกไม่ได้ว่าจะให้พรุ่งนี้แดดออกหรือฝนตก ให้อบอุ่นหรือหนาวสั่น และแน่นอน คุณเลือกวันตายไม่ได้ แต่อาจจะได้ก็ได้ ถ้าคุณอาจหาญพอที่จะใช้สิทธิ์นั้น

ชีวิตเต็มไปด้วยสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ ฉะนั้น ในจังหวะที่คุณมีโอกาสเลือก บนทางแยกที่คุณเลือกได้-ตัดสินใจได้ คุณควรจะเลือกด้วยหัวใจที่แท้จริง เลือกสิ่งที่อยากเลือกจริงๆ เพราะนั่นคือหนึ่งในน้อยสิ่งนักที่คุณจะได้เลือก

ชีวิตเต็มไปด้วยกล่องที่ยังไม่แกะ แทนที่จะนั่งคร่ำครวญกับกล่องที่จากไปแล้ว จะไม่ลองแกะกล่องใบอื่นดูหน่อยหรือไร

.

* คัดลอกและเรียบเรียงใหม่จาก "ผม, ตูราคามิ" โดยนิ้วกลม

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ใครในห้อง

พัีกหลังมานี้ไม่ค่อยดูหนังสยองขวัญ แต่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้พูดถึงโรคประหลาดในญี่ปุ่น "ฮิคิโคโมริ" (Hikikomori Syndrome) เด็กที่เป็นจะมีอาการแยกตัวออกจากสังคม ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหนเป็นปีๆ เลยอยากรู้ว่าเป็นไง เลยไปสอยหนังไทยเรื่องนี้มาดูสักหน่อย แถมได้ดารามากฝีมืออย่างพี่นก สินจัยมาแสดงนำ ก็น่าจะการันตีคุณภาพได้ระดับหนึ่ง

โดยพลอตเรื่องก็น่าสนใจดี เด็กหนุ่มติดเกมคนหนึ่งขลุกอยู่แต่ในห้องนาน 5 ปี หลายคนคงอยากรู้ว่าทำไม สิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นจึงเป็นตัวเดินเรื่องโดยปริยาย โดยรวมๆ ก็มีฉากตื่นเต้นก็ชวนให้สะดุ้งเป็นระยะๆ แต่ที่แปลกคงจะเป็นเรื่องพลังจิตใต้สำนึกในหนังเรื่องนี้

ในเรื่องนี้พูดถึงการฝึกควบคุมพลังจิต มีการยกตัวอย่างให้เห็นว่า สิ่งที่เราเชื่ออย่างแรงกล้าจะเป็นจริงได้ เขาให้ผู้ทดลองถือดินสอในมือ และสั่งให้ตัวเองเชื่อว่ามันคือหยวกกล้วย อีกมือให้ถือกระดาษ และเชื่อว่ามันคือมีด พอฟันฉับลงไป กระดาษจะตัดดินสอขาดได้

ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีการฝึกแบบนี้เยอะทั้งในและต่างประเทศ บ้างก็เอากระดาษมาตัดตะเกียบ บ้างก็ให้คนสองคนใช้นิ้วสอดใต้ขาคนที่มีน้ำหนักเป็นร้อยโล และยกเขาขึ้นมาได้สบายราวปุยนุ่น นั่นเป็นการฝึกพลังจิตและสร้างความเชื่อมั่นว่า หากเราเชื่อสิ่งใด เราจะทำสิ่งนั้นได้

ที่ออกจะประหลาดกว่านั้นคือ เรื่องชายแปลงเพศเป็นหญิง แล้วจู่ๆ เกิดอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เธอเชื่อว่าตัวเองคือผู้หญิงเต็มร้อย แถมมีประจำเดือน แต่งงานและมีลูกได้เหมือนผู้หญิงปกติ ทว่าพอความเชื่อนั้นถูกทำลายลง เธอกลับรับไม่ได้และฆ่าตัวตาย ลูกของเธอก็สลายกลายเป็นฝุ่นภายในไม่กี่ชั่วโมง

อันนี้ออกจะเวอร์ไปนิด และไม่พบข้อมูลว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโลกจริงๆ ถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ ในหนังนำเอาจุดนี้มาพลิกตอนจบ เลยทำให้รู้สึกว่ามันเกินจริงไปหน่อย แต่โดยรวมๆ ก็ถือว่าหลอนเอาเรื่องเลยล่ะ

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Fresh Start ด้วยการ "ล้มละลาย"

หลายคนคงตะลึงกับข่าวนักเขียนเศรษฐี Robert Kiyosaki เจ้าของผลงานชื่อดัง "Rich Dad, Poor Dad" หรือบ้านเรารู้จักกันดีในชื่อ "พ่อรวยสอนลูก" ยื่นขอล้มละลาย (แต่บางคนกลับเขียนว่าเขาถูกฟ้องล้มละลาย) และต่างพากันงงว่าโลกเป็นอะไรไปแล้ว รวยล้นฟ้าขนาดนั้นร่วงได้ไง

ที่จริงถ้าได้อ่านเนื้อข่าวก็จะไม่ตกอกตกใจเลย เพราะไม่ใช่ตัวเฮียแกสักหน่อยที่ล้ม แต่เป็น Rich Global LLC หนึ่งในบริษัทของแกต่างหาก และถึงบริษัทฯ นี้จะล้มละลาย ตัวแกก็ไม่สะเทือนเลย

เวลาเป็นหนี้มากๆ (และไม่อยากจ่าย) นักธุรกิจมะกันมักใช้กลยุทธ์ "ยื่นล้มละลาย" เพื่อเคลียร์หนี้กันทั้งนั้น นักธุรกิจคนดังที่เชี่ยวชาญกลยุทธ์นี้ เห็นทีจะไม่มีใครเกินอภิมหาเศรษฐี เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ Donald Trump เฮียคิโยซากิเองก็เคยสนิทกับเฮียทรัมป์ ทั้งออกหนังสือด้วยกัน ทำธุรกิจด้วยกัน ก็คงจะได้เรียนรู้เทคนิคนี้จากเฮียทรัมป์มาบ้าง

เฮียทรัมป์ใช้กลยุทธ์นี้โละหนี้เก่าจำนวนมหาศาลมาแล้วถึง 4 ครั้ง แล้วดูสิ ทุกวันนี้ เฮียแกก็ยังฟื้นกลับมาเป็นอภิมหาเศรษฐีได้ทุกครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะกฎหมายมะกันเปิดช่องให้คุณ "ล้มบนฟูก" ได้น่ะสิ

กฎหมายล้มละลายของอเมริกามีเป้าหมายหลักเพื่อให้ลูกหนี้ตั้งต้นใหม่ได้ ด้วยการปลดพันธะหนี้ที่จ่ายไม่ไหวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แถมป้องกันไม่ให้ถูกเจ้าหนี้คุกคามโดยมิชอบ เงินและทรัพย์สินที่มีก็เอามาจัดสรรให้เหมาะสม แบ่งให้เจ้าหนี้ทุกรายเท่าๆ กันอย่างรวดเร็ว เจ้าหนี้-ลูกหนี้ก็ไม่ต้องเกลียดขี้หน้ากัน วันดีคืนดีก็หันมาทำเซ็งลี้กันต่อได้

ในอเมริกา กฎหมายล้มละลายแบ่งออกเป็น 3 มาตราด้วยกันคือ Chapter 7, 11, 13 ที่เฮียโรเบิร์ตแกใช้คือ มาตรา 7 ซึ่งเป็นกระบวนการง่ายที่สุด แค่ขายทรัพย์สินนำมาแบ่งเฉลี่ยให้เจ้าหนี้อย่างเท่าเทียม ถ้าเป็นบุคคลก็ให้ขายทุกอย่าง ยกเว้นบ้าน แถมเจ้าของบ้านยังมีสิทธิหักเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าดำรงชีพได้อีกต่างหาก และถ้าขายทรัพย์สินแล้วได้เงินมากกว่ายอดหนี้ที่เป็นอยู่ เงินที่เหลือก็ต้องคืนให้ลูกหนี้ซะ

Chapter 11 ขอฟื้นฟูกิจการ เป็นมาตราที่บริษัทยักษ์ใหญ่ใช้กันเยอะ เพราะมาตรานี้บอกให้เจ้าหนี้ "หยุด" ทุกอย่าง หยุดทวงหนี้ หยุดคิดดอก ห้ามยึดทรัพย์ ห้ามบังคับขายทรัพย์สิน ลูกหนี้ก็ต้องหยุดด้วย เพื่อกระบวนการฟื้นฟูกิจการ หรือขายทรัพย์สินนำมาแบ่งเฉลี่ยจ่ายเจ้าหนี้แต่ละรายจะได้เริ่มต้นขึ้น

Chapter 13 เป็นมาตราสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีหนี้เกินตัว แต่ไม่เกิน 1 แสน หรือ 3 แสน 5 หมื่นเหรียญกรณีที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน ซึ่งมาตรานี้ ลูกหนี้จะมีเวลาผ่อนชำระหนี้ 3-5 ปีโดยคำนวณจากรายได้ในปัจจุบัน หลังจากนั้น หนี้ที่เหลือก็ถือเป็นอันหายกัน ง่ายดีเนอะ มาใช้บ้านเรามีหวัง...

ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะจะได้เปิดโอกาสให้คนที่มีหนี้ได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ สอดคล้องกับหลักศาสนาคริสต์ ทุกคนจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระทางการเงิน

กลับมาที่กรณีของเฮียโรเบิร์ต บริษัทที่เขายื่นล้มละลายมีทรัพย์สินเหลืออยู่แค่ไม่กี่ล้าน ในขณะที่เจ้าหนี้จ่อฟ้องยี่สิบกว่าล้าน นายไมค์ CEO บริษัทหนึ่งของเฮียโรเบิร์ตก็บอกง่ายๆ ว่า เฮียเขาไม่เพิ่มทุนแล้ว ไม่รู้จะเอาปัญญาหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย เออ...ถ้าบ้านเราอาจมีการยิงกันเกิดขึ้นได้

สรุปแล้ว เฮียโรเบิร์ตก็เลยขอใช้มาตรา 7 ยื่นให้บริษัทฯ ล้มละลาย เจ้าหนี้ก็ได้เงินเท่าที่มีอยู่ บริษัทเป็นอันปิดกิจการ คดีก็จบ กฎหมายก็ไม่ได้บังคับให้เฮียโรเบิร์ตต้องควักกระเป๋าส่วนตัวมาจ่ายด้วย

เฮียทรัมป์ เจ้าพ่อ bankruptcy เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ ABC News ว่า "ผมใช้กฎหมายของประเทศนี้เพื่อปลดหนี้" และคำว่า "ล้มละลาย" ของเขาก็ไม่ได้ฟังดูน่ากลัว ดูจนตรอกอย่างบ้านเรา ถ้าจะใช้คำสวยหรูขึ้นมาหน่อยก็คือ "ปรับโครงสร้างหนี้" และใช้กันทุกวงการ ไม่ใช่แค่ในโลกธุรกิจเท่านั้น

นี่แหละนะ เศรษฐีมะกันถึงล้มบนฟูกกันเป็นแถว

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อายให้ถูกเรื่อง

ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มท้อง 5 เดือน ท้องเริ่มใหญ่จนใครเห็นก็รู้ว่าเธอกำลังตั้งท้อง ทุกวัน เธอยังต้องพึ่งรถไฟฟ้าไปทำงาน และแทบไม่มีใครลุกให้นั่งเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง มีสุภาพสตรีร่างท้วมนิดๆ ลุกให้เธอนั่ง ในชั่วขณะนั้นเอง คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเธอ "ผู้หญิงคนนี้แค่ท้วม หรือกำลังมีน้องเหมือนเธอ"

เธอจึงเอ่ยปากถาม และคำตอบก็ตรงตามคาด ผู้หญิงคนนั้นตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว แต่เธอบอกว่ายินดีลุกให้นั่ง เพราะเข้าใจหัวอกคนท้องดี ตัวเธอเองเพิ่งท้องอ่อนๆ ยังพอจะยืนได้ แต่ท้อง 5 เดือนแบบนี้น่าจะได้นั่งมากกว่า ไม่สมควรยืนโหนราวให้กระเทือนน้องในท้อง

อืม...รู้สึกอึ้งนิดๆ คนสมัยนี้ใจร้ายขึ้น หลายคนบอกว่า คนทำดีน้อยลงเพราะกลัว "คนอื่น" จะมองตัวเองด้วยสายตาแปลกๆ กลัว "คนอื่น" จะมองว่าตัวเองดี กลัว "คนอื่น" จะมองว่าสร้างภาพ

ถือเป็นเรื่องแปลกมากที่คนเราจะ "อาย" เมื่อทำความดี
หรือรู้สึกเป็น "ตัวประหลาด" ท่ามกลางผู้คนหมู่มากที่นิ่งเฉย

การที่คิดแบบนั้นก็เท่ากับทำลาย "ตัวสร้างสุข" ชัดๆ เพราะการทำดีเพียงเล็กๆ น้อยๆ อย่างลุกให้เด็ก คนชรา หรือผู้หญิงท้องนั่ง มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง รอยยิ้มหรือคำขอบคุณที่พวกเขามอบให้อาจตีค่าเป็นราคาไม่ได้ แต่มันอาจทำให้คุณอิ่มเอมใจไปทั้งวัน

หลายคนมักพูดเสมอว่า อยากให้โลกน่าอยู่ขึ้น อยากเห็นสังคมที่ดีขึ้น เราจะไปเรียกร้องให้ใครทำเรื่องใหญ่เรื่องดีที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ไง ในเมื่อเรายังไม่กล้าที่จะทำเรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ

อย่าอายที่จะทำความดี แต่จงอายที่จะทำเรื่องชั่วช้า
โลกอาจไม่ได้น่าอยู่ขึ้นทันที แต่ใจคุณจะปิติขึ้นทันตาเห็น

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Say "No" to Chinese

เป็นการตลาดแบบฆ่าตัวตายชัดๆ เมื่อดีไซเนอร์ดังชาวฝรั่งเศส เธีรยร์รี่ กิลิเย่ (Thierry Gilier) เจ้าของแบรนด์ Zadig & Voltaire ออกมาประกาศว่า โรงแรมใหม่สุดหรูของเขาที่เตรียมจะเปิดให้บริการที่กรุงปารีสในปี 2014 จะไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน

ที่เฮียแกออกมาพูดแบบนั้นคงจะเป็นเพราะชื่อเสีย (ง) ของนักท่องเที่ยวจากแดนมังกร ที่ออกจะมีพฤติกรรมสุดระห่ำ ออกแนวกักขฬะในสายตาของพวกผู้ดีตีนแดง คงเกรงว่าจะทำให้เหล่าคุณหญิงคุณนายฝาหรั่งต๊กกะใจจนไม่กล้ามาใช้บริการ

แต่ประกาศไปได้ไม่กี่วัน ก็ต้องรีบแจ้นออกมาขอโทษขอโพยยกใหญ่ ต้องกลืนน้ำลายตัวเองดังเอื๊อกๆ ที่ดังจากกปารีสไปถึงปักกิ่งเลยก็ว่าได้ อุเหม่! ปัจจุบันใครๆ ก็ต้องยอมรับว่า นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักสมัยนี้มีแต่ชาวแดนมังกรทั้งนั้น อเมริกาหรือญี่ปุ่นเองก็เข้าสู่โหมดเศรษฐกิจถดถอย ใช้จ่ายไม่คล่องมือเหมือนเมื่อก่อน ยุโรปยิ่งไม่ต้องพูดถึง จะล้มครืนอยู่รอมร่อ ต้องรัดเข็มขัดจนแน่นติ้ว

เฮียจะเปิดโรงแรมหรู สินค้าที่เฮียขายก็แบรนด์เนมหะรูหะเริ่ด ธุรกิจทุนนิยม บูชาเงินเห็นๆ เฮียต้องเอาใจพวกเศรษฐีสิ และยึดคติ "เงินคือพระเจ้า" ถ้าไม่รับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก แล้วเฮียจะสูบเงินได้จากไผ?

ที่สำคัญ มันแสดงให้เห็นเลยว่า เฮียเป็นพวก racist นะเนี่ย จะผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง ผมดำ ผมแดง ผมทอง มันก็คนเหมือนกัน จะมาห้ามเฉพาะชนชาตินั้น ผิวสีนี้ได้ที่ไหน

อย่างเฮียน่ะเป็นพวก "arrogant" เย่อหยิ่ง อีโก้จัด ที่สุดท้ายก็ต้องกล้ำกลืนน้ำลายที่ตัวเองถ่มออกมา เสียหน้ามั้ยล่ะเนี่ย!

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Brothers สายสัมพันธ์พี่น้อง สงครามกับความรัก

ได้ VCD เรื่องนี้มาด้วยราคาแค่ 19 บาท ถูกมาก แผ่นแท้เอามาโละ คงเพราะเป็นหนังเก่าตั้งแต่ปี 2009 แม้จะคาดเดาเนื้อเรื่องได้จากภาพบนปก แต่ด้วยเครดิตของนักแสดงมากความสามารถ จะปล่อยให้นอนแช่ในลังได้ไง

ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง แซม พี่ชายผู้เดินตามรองเท้าพ่อ (โทบี้ แมคไกวร์) นาวิกโยธินที่อาสาไปประจำการในสงครามอัฟกานิสถาน กับทอมมี่ น้องชายเสเพล (เจค จิลเลนฮาล) ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า เป็นแกะดำของครอบครัว แน่นอนว่าไม่ถูกชะตากับพ่อที่เป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม และนางเอกของเรื่อง เกรซ (นาตาลี พอร์ตแมน) ภรรยานายทหารและคุณแม่ลูกสอง

เปิดฉากมาที่พี่ชายไปรับตัวน้องชายจากคุก ก่อนที่ตัวเองจะต้องไปประจำการที่อัฟกานิสถาน หนังก็เล่าเรื่องราวสงครามตามปกติ ฉายภาพชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ความโหดร้ายของเชลยศึก ฯลฯ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง วันที่ภรรยานายทหารทุกคนไม่อยากเจอ เมื่อเสียงออดดังขึ้นหลังจากสามีไปรบ เมื่อต้องเปิดประตูมาเจอนายทหารสองนายยืนรออยู่หน้าบ้าน พร้อมข่าวที่ไม่ต้องแจ้งก็รู้

เมื่อพี่สะใภ้ต้องกลายเป็นหม้ายลูกสอง น้องเขยย่อมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบครอบครัวพี่ชายที่เขารักมาก แน่นอนว่าความใกล้ชิดอาจทำให้จิตใจเผลอไผลไปบ้าง แต่บางทีก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบจากความเหงา ซึ่งย่อมหยุดยั้งได้หากมีสำนึกผิดชอบ

เรื่องกลับตัดไปที่อัฟกานิสถานที่ปรากฏว่า แซมไม่ได้เสียชีวิตอย่างที่คิด แต่ถูกจับเป็นเชลยและได้รับความช่วยเหลือนำส่งกลับบ้าน

แต่พอดำเนินเรื่องมาถึงตรงนี้ปุ๊ป ก็รู้สึกว่าบทมันขัดๆ บอกไม่ถูก ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่่าไหร่ และโดยบริบทก็ไม่มีเหตุจูงใจมากพอที่จะทำให้จู่ๆ พอพี่ชายที่รักน้องมากกลับจากสงครามจะเกิดสงสัยว่า น้องชายแอบเล่นชู้กับเมียตัวเองหรือเปล่า

แค่น้องชายดูไม่เสเพลเหมือนก่อน แค่น้องชายพาเพื่อนมาช่วยซ่อมครัวใหม่ให้พี่สะใภ้ แค่ลูกๆ สนิทกับน้องชายมากขึ้น แค่นี้จะทำให้คนๆ หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่ารักน้องชายและรักภรรยามากเกิดระแวงว่า คนสองคนที่เขารักมากจะสวมเขาให้เขางั้นเหรอ มันดูไม่มีเหตุผลเอามากๆ

ไม่ได้ติว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ แน่นอนว่าคุณจะไม่ผิดหวังกับการแสดงของทั้งสามคนเลย พวกเขาถ่ายทอดออกมาได้ดีมากทั้งสีหน้าและอารมณ์ ระหว่างเรื่องก็แสดงให้เห็นปมในใจของตัวละครแต่ละตัว โดยเฉพาะลูกสาวคนโต (Bailee Madison) ที่คิดว่าใครๆ ก็รักน้องมากกว่า หนูน้อยคนนี้แสดงสีหน้าและท่าทางได้เก่งทีเดียวเชียวล่ะ

แต่ตัวบทต่างหากที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ลื่นไหล ไม่ทำให้เชื่อหรือคล้อยตามได้ว่า จู่ๆ ทำไมพี่ชายถึงลุกขึ้นมาสงสัยน้องชาย ถ้าปูพื้นมาก่อนว่าน้องชายมีใจให้พี่สะใภ้แต่ต้น หรือสามคนสนิทกันมากมาก่อน หรืออะไรก็ตามที่จะส่อให้เกิดความระแวงได้ ก็อาจกระชากอารมณ์ได้มากกว่านี้

ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้อง ปมรักสามเส้า บอกตามตรงว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้ไม่สุด และเทียบไม่ได้เลยกับ Addicted (2002) หนังเกาหลีเรื่องที่เคยเขียนไว้ในตอน ไม่มีใครรักคุณมากกว่าผม

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรายังรักกันอยู่ไหม

เสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เกาหลีคือ บทพูดน้อย ให้ผู้ชมเสพความละเมียดละไมและรับรู้ความนึกคิดเอาเองจากบุคลิกของตัวละคร บทพูดจะน้อยชนิดที่บางคนอาจไม่ชอบ บ้างบอกดูแล้วเครียด บ้างแอบเหน็บว่า "กลัวพิกุลจะร่วงรึไง"

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ "สื่อเงียบ" บอกเล่าเรื่องราวของคนสองคนที่ชีวิตคู่ดูเหมือนจะมาถึงทางตัน ระหว่างที่สามีขับรถมาส่งภรรยาไปต่างประเทศ จู่ๆ ภรรยาก็เอ่ยว่า "ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายออก" บอกลากันแบบไม่ทันให้สามีตั้งตัว ฝ่ายสามีก็ได้แต่อึ้งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไร

แล้วก็ตัดฉากกลับมาที่บ้าน ในวันที่ภรรยาเตรียมเก็บข้าวของ ภรรยาเป็นสาวแวดวงการพิมพ์ สูบบุหรี่จัด ดูจากการที่เธอเดินไปเดินมา เก็บของเข้าๆ ออกๆ ก็พอจะบอกนิสัยของตัวละครตัวนี้ได้

ในขณะที่สามีคอยอยู่ข้างล่าง โทรจองร้านอาหารที่ภรรยาโปรดเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อสุดท้าย ค่อยๆ ละเมียดละไมชงกาแฟให้หญิงคนรัก และช่วยเก็บแก้วคู่ชามชุดที่ภรรยามักนำมาใช้เฉพาะโอกาสพิเศษมาห่อแพ็คอย่างดี หวังจะให้เธอนำไปใช้ที่บ้านใหม่กับ "ผู้ชายคนใหม่" ของเธอ แค่นี้ก็พอจะบอกได้ว่าเขารักเธอแค่ไหน

หนังดำเนินไปอย่างเนิบช้า มีตัวละครหลักแค่สองตัว บทสนทนาไม่มาก แต่ดูก็สัมผัสได้ถึงความรักและรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งคู่ยังมีเยื่อใยกันอยู่

เรายังรักกันอยู่ไหม...ไม่มีใครถามออกมาตรงๆ แต่สัมผัสได้จากอารมณ์ของหนัง

บางทีนิสัยที่ต่างกันอาจทำให้ไม่ลงรอยกันบ้าง หรือการอยู่ด้วยกันนานๆ อาจทำให้รู้สึกชินชาจนน่าเบื่อ แต่นั่นอาจเป็นแค่อุปสรรค์ที่ทำให้ชีวิตรักสะดุดลงบ้าง

อุปสรรคก็เหมือนฝน ถึงฝนจะตก แต่เดี๋ยวแดดก็จะออก
"Come Rain, Come Shine" คือชื่อของหนังเรื่องนี้

โดยส่วนตัวชอบชอบพระเอก ฮยอนบินเป็นนักแสดงที่แสดงออกทางสายตาได้แสนเศร้าพอๆ กับลีบยองฮุน ส่วนนางเอก อิมซูจองก็แสดงอารมณ์ได้ดีเหมือนทุกเรื่องที่ผ่านมา

ไม่อยากชวนให้ดู เพราะหนังราบเรียบ พูดน้อยและค่อยๆ ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีการสาดเสียงใส่กันเหมือนเมโลดราม่ายุคนี้ มักไม่ถูกจริตคนในยุคที่ชีวิตมีแต่ความรีบเร่ง ทุกอย่างต้องชัดเจนฟันธง

แต่หากคุณต้องการความละเมียดละไม อยากสัมผัสกลิ่นอายความรักที่ผู้ชายคนหนึ่งพึงจะให้ผู้หญิงได้...ผู้ชายที่ "ดีเกินไป"...ก็อยากชวนให้ชม

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลาลิเบลา เมืองลับแลแห่งเอธิโอเปีย

เมื่อคืนบังเอิญเปิดไปเจอสารคดีเกาหลีทางช่อง KBS เลยได้รู้จักกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมืองลับเลแห่งเอธิโอเปีย เมืองนี้ชื่อ ลาลิเบลา (Lalibela) เป็นเมืองเล็กทางตอนเหนือของประเทศ ได้ชื่อว่าเป็น holy land ดินแดนแห่งการจาริกแสวงบุญที่ชาวคริสต์ในแถบนั้นอยากจะมาสักการะสักครั้งในชีวิต

Lalibela เดิมทีชื่อ Roha แต่ต่อมาเปลี่ยนตามชื่อกษัตริย์ Gebre Mesqel Lalibela ในราชวงศ์ซักเว (Zagwe Dynasty) ที่ปกครองเอธิโอเปียสมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12–13 ตามตำนานเล่าว่า ตอนทรงพระเยาว์ เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเยรูซาเลม เลยมีพระประสงค์จะสร้้าง New Jerusalem ที่เมืองนี้

พระองค์รับสั่งให้สร้างโบสถ์คริสต์ โดยให้ขุดพื้นดินโดยรอบลงไปเป็นหลุมลึก และสร้างโบสถ์ในหลุมที่สลักจากหินก้อนเดียว (monolithic rock-cut church) หลังคาจะขนานราบกับพื้นดิน น่าทึ่งมากที่เมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน คนโบราณมีวิธีสลักหินภูเขาไฟสีแดงจนกลายเป็นอาคารหลายชั้นได้ และไม่ใช่แค่อาคารเดียว ทั้งหมดมีถึง 11 หลังด้วยกัน แถมที่น่าทึ่งกว่าคือ ทั้ง 11 หลัง มีอุโมงค์ที่เดินเชื่อมถึงกันได้ amazing มากๆ!

อาคารทั้ง 11 หลังจะแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม (ดูแผนที่) แต่จะขอพูดถึงสถานที่หลักๆ ได้แก่ กลุ่มทางเหนือ Bet Medhane Alem ที่เชื่อว่าเป็นโบสถ์สลักจากหินก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในนั้นจะพบกางเขนศักดิ์สิทธิ์แห่งลาลิเบลา (Lalibela Cross)

สถานที่สำคัญอีกแห่งคือ Bete Maryam (St. Mary) โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุด ภายในโบสถ์ก็จะมีภาพวาด ที่สำคัญคือ ที่นี่เก็บความลับการสร้างโบสถ์นี้ไว้บนเสาหิน ที่ถูกคลุมด้วยผ้าเก่าโบราณและอนุญาตให้เฉพาะนักบวชเท่านั้นถึงจะเปิดดูได้ ถัดมาจะเป็น Bete Golgotha ในนี้จะเป็นสุสานฝังศพของกษัตริย์ลาลิเบลา บนกำแพงจะมีหินแกะสลักรูปนักบุญขนาดเท่าตัวจริง

ทางตะวันตกจะประกอบด้วย The Selassie Chapel และ The Tomb of Adam แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของฝั่งนี้คือ Bete Giyorgis (St. George's) ที่ดูจะสวยที่สุดและได้รับการดูแลดีที่สุด อาจเพราะเป็นโบสถ์ที่สร้างเป็นหลังสุดท้ายก็เป็นได้ บางคนถึงกลับยกตำแหน่ง "สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลก" ให้เลย มหัศจรรรย์งานสร้างฝีมือมนุษย์โดยแท้

ฺโบสถ์นี้จะสร้างลึกลงไปจากพื้นดินราว 40 ฟุต และหลังคาโบสถ์ที่ขนานราบกับพื้นจะเป็นรูปไม้กางเขนกรีก (ดูภาพบนสุด) ว่ากันว่าสร้างหลังจากที่กษัตริย์ลาลิเบลาสิ้นพระชนม์ โดยพระชายาเป็นผู้รับสั่งให้สร้างเพื่อรำลึกถึงพระสวามี

หลังจากทึ่งกับความอลังการงานสร้างฝีมือมนุษย์แล้ว รายการก็พาไปชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองลาลิเบลา ที่นี่มีประชากรแค่หมื่นนิดหน่อย ดูจากสภาพต้องบอกว่าจนสุดๆ แมลงวันก็เยอะมาก พื้นดินดูแห้งแล้ง ถนนหนทางก็เป็นดินลูกรังเสียส่วนใหญ่ ดูแล้วไม่อยากเชื่อว่าสมัยก่อนจะเคยรุ่งเรืองมาก่อน อย่าลืมว่า เอธิโอเปียเคยเป็นแหล่งอารยธรรมอักซุม (Axumite Civilization) ที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองไม่แพ้ที่อื่น

ถึงจะดูยากจน แต่พวกเขาก็ดูจะมีความสุขกันตามอัตภาพ ชาวเมืองยังคงศรัทธาในศาสนา ที่น่าประทัีบใจคือ พวกเขาไม่ได้ภาวนาให้ร่ำรวยขึ้น หรือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่กลับ "plead for peace" ขอให้โลกนี้สงบสุข

เลยนึกย้อนถามตัวเองว่า บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราจะอธิษฐานแบบนั้น?

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรุงเทพฯ รถติดที่สุดในโลกจริงหรือ?

เห็นหลายสำนักโพสต์ข่าวนี้ ฟังแล้วก็ตะหงิดๆ ไม่อยากจะเชื่อ ตอนทำสำรวจ BBC คงลืมไปเมืองใหญ่ในจีน อย่างปักกิ่งเองก็เคยเป็นข่าว รถติดยาวเป็นร้อยโล หรือล่าสุดที่เซาเปาโลในบราซิล ที่ทุบสถิติรถติดยาวเหยียดถึง 180 กิโลกันเลยทีเดียว

โดยส่วนตัวเลยไม่เชื่อว่า กรุงเทพฯ จะขึ้นแท่นรถติดที่สุดในโลก ขอเข้าไปดูข้อมูลที่ BBC หน่อย แล้วก็ปรากฎว่า...

1 ชม ในกรุงเทพฯ เดินทางได้ราว 50-60 กม. ในขณะที่่ในมุมไบ ชั่วโมงครึ่ง-สองชั่วโมง เพิ่งขยับไปได้แค่ 18 กม. ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกา ที่เมืองออสติน เท็กซัส แค่ 3 กม. ยังใช้เวลาึเดินทางถึง 45 นาที มันแย่กว่าบ้านเราอีกนะ

คนที่นำข่าวนี้มานำเสนอเนี่ย อ่านข่าวครบถ้วนกระบวนความรึเปล่า ที่เขาเอ่ยถึงกรุงเทพฯ เป็นเมืองแรก ไม่ได้หมายความว่า Thailand's the worst นะคะคุณ!

แต่ฉันก็ยังยืนยันว่า ถ้า BBC ไปสำรวจเมืองใหญ่ในจีน กรุงเทพฯ ไม่ติด 1 ใน 10 หรอก ชัวร์!

อ้างอิง: http://www.bbc.co.uk/news/magazine-19716687

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

The Flowers of War

เมื่อวานต้องเสียน้ำตามากมายกับภาพยนตร์ล่าสุดของจางอี้โหมว "The Flowers of War" (2011) ที่สร้างจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ของ Geling Yan 《金陵十三钗》หรือ The 13 Women of Nanjing ที่บอกเล่าถึงหนึ่งในเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์จีน

ภาพยนตร์ของจางอี้โหวไม่ทำให้ผิดหวัง ทั้งภาพและการเล่าเรื่องทำออกมาได้สวยไม่แพ้หนังสงครามของฮอลีวู้ด แต่ภาพยนตร์เอเชียมักถ่ายทอดในแง่มุมที่ลึกซึ้งกินใจมากกว่า เรื่องนี้ก็เช่นกัน

ย้อนกลับไปปี 1937 สมัยที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองนานกิง เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญผู้คนทั่วโลก ที่รู้จักกันในนาม The Rape Of Nanking หรือ The Nanjing Massacre ทหารญี่ปุ่นเข้ายึดเมือง เข่นฆ่าชาวจีนอย่างโหดร้าย ย่ำยีศักดิ์ศรีของชาวจีนเป็นว่าเล่น และที่สะเทือนใจที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ที่ผู้หญิงชาวจีน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ สาวหรือแก่ ชาวบ้าน ครู หรือแม่ชี แม้แต่หญิงท้องก็ถูกทหารญี่ปุ่นรุมกระทำชำเรา ข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งอย่างทารุณ

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดฉากที่เด็กสาวกลุ่มหนึ่งพากันวิ่งหนีทหารเพื่อกลับเข้าโบสถ์ กลุ่มทหารที่สละชีพเพื่อปกป้องคนในชาติ สัีปเหร่อขี้เมาอเมริกันที่เดินทางมาฝังศพนักบุญ และกลุ่มหญิงงามกลางเมืองที่หนีเข้ามาพึ่งใบบุญของศาสนจักร

โบสถ์...สถานที่ที่น่าจะศักดิ์สิทธิ์และปลอดภัย

ทว่าในยามที่เกิดภาวะสงครามและท่ามกลางความโหดร้าย ไม่มีสถานที่ไหนปลอดภัยอย่างแท้จริง

และเมื่อชายขี้เมาที่จับพลัดจับผลูต้องกลายมาเป็นนักบวช หญิงกลางเมือง เด็กสาวไร้เดียงสาจำต้องมาอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน เผชิญกับศัตรูกลุ่มเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สอนให้เรารู้ซึ้งถึงคำว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรษและวีรสตรีอย่างแท้จริง คุณค่าของคนไม่ได้วัดจากวัยหรืออาชีพ แต่จากความเสียสละตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นรอด

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสนเศร้าอย่างน่าประทับใจ และย้ำให้รู้ว่า ไม่ว่าชีวิตจะผ่านมรสุมอะไรมา หรือชีวิตจะปลุกปั้นให้เรากลายเป็นคนแบบไหน แต่ลึกๆ แล้ว เมล็ดพันธุ์ความดีที่อยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์จะแตกหน่อและผลิบานได้ แม้จะแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม