วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ศัพท์กับศพ ตอนที่ 2

ยังพูดถึงเรื่องศพกันต่อค่ะ กรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรืออาชญากรรมก็ดี หากไม่มีใครรู้จักชื่อของผู้ตาย อเมริกันจะมีชื่อสามัญไว้เรียกศพนิรนาม ถ้าเป็นผู้ชายจะเรียก John Doe หากเป็นผู้หญิงจะเรียกว่า Jane Doe

แต่น่าแปลกที่ในประเทศอื่นที่พูดภาษาอังกฤษ (ยกเว้นอเมริกากับแคนาดา) กลับไม่เรียกแบบนั้น อย่างอังกฤษ (รวมถึงประเทศอื่นที่เคยเป็นอาณานิคม) จะเรียกว่า Joe Bloggs หรือ Joe Schmoe แทน ซึ่งไม่คุ้นหูบ้านเราเท่าไหร่ คงเป็นเพราะเราดูซีรีส์อเมริกันมากกว่าก็เป็นได้

เคยอ่านนิยายแปลบ้านเรา คนแปลชื่อออกมาตรงๆ เลยว่า จอห์น โด ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือไม่รู้ที่มาของคำนี้กันแน่ ต้องขอชมคุณสุกิจ ผู้แปล "Stiff" เพราะพี่เขาเข้าใจและเลือกใช้คำที่เหมาะกว่า นั่นคือ "นาย ก." คิดไม่ถึงล่ะสิ

พอ John Doe ถูกส่งมาผ่าชันสูตร ในแง่ของ forensic autopsy เพื่อหาสาเหตุการตาย หรือ COD (Cause of Death) ผู้ที่ทำหน้าที่สืบจากศพนี้คือ Forensic Pathologist หรือนิติพยาธิแพทย์ ศัพท์บ้านเราฟังดูทะแม่งๆ มะ นึกถึงพวกพยาธิยังไงไม่รู้

สาเหตุการตายตามกฎหมายของอเมริกันจะระบุได้ 5 กรณีค่ะ ได้แก่

  1. Natural - สิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ
  2. Accident - เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
  3. Homicide - ถูกฆาตกรรม
  4. Suicide - ฆ่าตัวตาย
  5. Undetermined - ระบุสาเหตุไม่ได้

เรารู้กันแล้วว่า การผ่าศพเรียกว่า autopsy ใช่มั้ยคะ แต่ถ้าเป็นการฆ่าหั่นศพ อุบ๊ะ สยองโคตร แบบนี้ก็มีศัพท์เรียกเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ศัพท์สแลง "butcher" ใช่ค่ะ คนขายเนื้อนี่แหละ สับ-ฉับ-ฉับ-ฉับ บรึ๋ยยยย

เขียนแล้วชวนให้นึกถึงคำว่า โรงฆ่าสัตว์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Slaughter House คำนี้มันเหมือนมีกลิ่นคาวเลือดติดมาด้วยบอกไม่ถูก คำว่า slaughter จึงหมายถึงการฆ่า เฉือน แล่เนื้อ ออกแนวโหดๆ อะค่ะ

การฆาตกรรมหมู่มีศัพท์เฉพาะของเขาเหมือนกันนะคะ คงจะเคยเห็นกันบ้างกับคำว่า Massacre วิธีจำง่ายๆ ค่ะ mass ก็หมายถึงมวลชนอยู่แล้ว mass murder หรือ mass killing ฆ่ากันเป็นเบือ หรือนึกภาพเลือดอาบนอง blood bath ก็หมายถึงการสังหารหมู่เหมือนกัน

และเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลกคือ Holocaust การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชายยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวถูกฆ่าตายร่วมสิบล้านคน เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญชาวโลกมาก โอย ไม่ไหว ขนลุกค่ะ

ลดดีกรีความโหดสยองขวัญลงมาหน่อยดีกว่า คำว่า "ฆ่า" ก็มีศัพท์น่าสนใจมากมายนะคะ อย่างฆ่าตัวเองก็ commit suicide แต่ถ้าฆ่าคนอื่นก็ murder หรือทางการหน่อยก็ใช้คำว่า homicide แต่ถ้าเป็นฆาตกรรมต่อเนื่องจะเรียกว่า serial murder

ถ้าหากเป็นการจ้างวานคนอื่นฆ่า อันนี้จะเป็น contract murder แต่พวกระเบิดพลีชีพนี่ suicide bombing หรือ suicide attack ที่ถือว่าเป็น murder-suicide เพราะตัวเองก็ตาย คนอื่นก็ตายด้วย

ถ้าเป็นการลอบฆ่าคือ assassin แต่ถ้าเหยื่อเป็นคนดัง หรือเป็นบุคคลทางการเมือง เช่น ประธานาธิบดี อันนี้จะเพราะขึ้นมาอีกนิดเป็น assassinate แต่ส่วนใหญ่จะคุ้นกับการใช้เป็นคำนามมากกว่า เช่น The Assassination of Abraham Lincoln

สแลงก็เยอะค่ะ อย่าง "take out" บางทีก็ไม่ได้หมายถึงเอาออก ยึด ถอดถอน สั่งอาหารกลับบ้าน นัดสาวออกไปข้างนอก แต่ยังเป็นสแลงหมายถึง สั่งเก็บ เอ คงเพราะให้เอาออกไปจากโลกนี้รึเปล่านะ หุหุ

ยังมีการฆ่าแบบถูกกฎหมาย อย่างนักโทษที่ได้รับ Death Sentence หรือโทษประหารชีวิต เวลาถูกนำตัวไปประหาร เขาจะใช้คำว่า execute หรือง่ายๆ ว่า put to death สำเร็จโทษ

ในบางประเทศ "การุณยฆาต" ถือเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ที่จะใช้กับผู้ป่วยสมองตายที่คิดว่ายังไงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมามีชีวิตได้อีกแล้ว ญาติจะเซ็นอนุญาตให้หมอฉีดยาให้หลับไป แบบนี้เขาเรียกว่า Mercy Killing ค่ะ แต่ยังไง มันก็คงเป็นตราบาปอยู่ดี

เอ จากเรื่องศพไปเรื่องฆ่าได้ไง แต่การเรียนศัพท์แบบนี้ ฉันว่าสนุก เพราะทำให้เราผูกเรื่องต่อยอดไปได้เรื่อยๆ การท่องจำก็จะไม่น่าเบื่อ ไว้นึกถึงคำไหนได้อีกจะมาเขียนใหม่ สนุกดี :)

1 ความคิดเห็น:

littlehands กล่าวว่า...

ได้ความรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการฆ่าหลายคำเลย