วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

งกบุญ

เมื่อวานได้มีโอกาสไปร่วมช่วยโรงทานในงานสมโภชพระพุทธพิทักษไทยทศทิศ ที่ประชาชนผู้รักชาติได้ร่วมกันสร้าง จำนวน 84 องค์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย 3 เสร็จแล้วก็ได้ร่วมถวายหมวกไหมพรมให้กับพระอาจารย์ในงานด้วย

ตอนที่ถวาย ฉันอาจจะทำบาปมากกว่าทำบุญ เพราะพระอาจารย์ที่ฉันนำหมวกไปถวาย ดูจะไม่ไยดีรับสักเท่าไหร่ ท่านผายมือเหมือนให้ไปถวายท่านอื่น แต่ด้วยความที่พวกเราตระเตรียมหมวกมาถวายให้พระครบทุกรูป ฉันจึงไม่ลุกไปไหน พระอาจารย์เหมือนจำใจต้องรับหมวกอย่างเสียไม่ได้ โดยส่วนตัว ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจอะไรทั้งนั้น แค่เกิดความคิดขึ้นชั่วแวบในใจว่า การให้ของที่ผู้รับไม่ต้องการคงไม่มีประโยชน์

สักครู่ หลวงปู่ก็นำสวด พอดีพวกเราเพิ่งถวายหมวกเสร็จ เลยต้องนั่งอยู่กับที่ตรงนั้น ไม่ทันได้ลุกไปไหน เสร็์จแล้วหลวงปู่ก็จะลุกเดินรดน้ำมนต์ให้บรรดาผู้ที่มาร่วมงาน ฉันได้ยินผู้หญิงทางด้านหลังพูดโพล่งขึ้นมาประมาณว่า ทางที่พวกเรานั่งนั้น เขากันไว้เป็นทางเดิน ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมานั่งกันเลย

ได้ยินเธอกับเพื่อนพูดอยู่หลายครั้ง เลยหันไปอธิบายว่า พวกเราเพิ่งถวายหมวก ไม่ได้คิดจะแย่งที่ แต่เหมือนคำอธิบายของฉันจะฟังไม่ขึ้น เพราะเธอดูจะยังไม่พอใจเท่าไหร่ ฉันก็พยายามเขยิบมาอยู่แถวเดียวกับเธอ ไม่ได้คิดอยากเป็นผู้หญิงแถวหน้าเลยจริงๆ

ระหว่างที่หลวงปู่เดินรดน้ำมนต์ สานุศิษย์ด้านหน้าก็พากันตะโกน "หลวงปู่ หลวงปู่" ฉันก็ทะลึ่งดันไปนึกถึงแฟนคลับนักร้องเกาหลี ช่างเหมือนกันยังไงยังงั้น

พูดกันตามตรง ฉันไม่รู้จักพระเกจิอาจารย์เท่าไหร่หรอก นอกจากพระอาจารย์ที่เคยออกสื่ออย่างท่าน ว.วชิรเมธี พระมิตซูโอะ พระไพศาล พระอาจารย์ปราโมทย์ ฯลฯ ถ้าเป็นพระเกจิ ฉันคงรู้จักแต่หลวงปู่แหวน หลวงพ่อโต ที่เคยเห็นตามปฏิทินตั้งแต่เด็ก หลวงปู่ที่เป็นประธานในงานเมื่อวานเป็นใคร จากวัดไหน สารภาพตามตรงว่าฉันไม่รู้ แต่ดูจากจำนวนลูกศิษย์ที่มาร่วมงาน ท่านคงเป็นพระเกจิดังอยู่

ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่า พวกนี้เป็นพวก "งกบุญ" ฉันเพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรก แปลกดี คนบางคนเข้าวัดทำบุญทำทานมาก แต่กลับไม่มีความเมตตา เหมือนกายเข้าวัด แต่ใจไม่เข้าถึงธรรม

ตัวฉันเองไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่ดีนักหรอก ไม่ค่อยได้ตักบาตรทำบุญ ไม่ค่อยสวดมนต์ ไม่ค่อยเข้าวัดวาฟังเทศน์ฟังธรรม เวลาไปทำบุญก็ไม่ค่อยอธิษฐาน หรือแผ่เมตตาให้ตัวเองและผู้อื่นสักเท่าไหร่ ถวายสังฆทานยังนำสวดเองไม่เป็นเลย

บางตำราบอก ถ้าทำบุญไม่ถูกวิธีก็จะไม่ได้บุญ สำหรับตัวฉันนั้นเฉยๆ ฉันถือว่าทำแล้วสบายใจก็พอ จิตใจร่มเย็นก็เป็นสุขแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะต้องตักตวงบุญไว้เป็นเสบียงเลี้ยงตัว

ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ทำไมบางนิกายถึงมีการคิดคะแนนบุญ เพราะในโลกนี้ยังมีคนงกบุญนี่เอง

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Marriage Clinic: Love & War Season 2

Marriage Clinic: Love & War Season 2 ทางช่อง KBS เป็นละครเกาหลีสะท้อนปัญหาชีวิตคู่ในปัจจุบัน ที่ต้องบอกว่าผูกเรื่องได้ร้ายกาจมาก (โชคดีที่ subtitle ภาษาอังกฤษ)

ตอนที่ดูวันนี้เป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ทั้งคู่แต่งงานกันมาหกปี ฝ่ายชายเป็นศัลยแพทย์ ฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีนี ชีวิตแต่งงานออกจะราบเรียบจนถึงขั้นน่าเบื่อ เพราะสามีเอาแต่ทำงาน ปล่อยให้ภรรยาเหงาใจอยู่เป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง หญิงสาวเจอชายหนุ่มรูปหล่อเอาใจเก่งมาเติมเต็มชีวิตจืดชืด ทั้งคู่ลักลอบพบกันยามค่ำคืน โดยเธอแอบวางยานอนหลับสามีเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวกับแฟนใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งสามีได้รับจดหมายจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ในนั้นมีภาพถ่ายระเริงรักของภรรยากับชายชู้

ถึงสามีจะจับได้ แต่เขายังให้อภัยภรรยา ชีวิตคู่เหมือนจะกลับมาเป็นปกติ แต่ภรรยายังไม่อาจลืมชายชู้ จึงตัดสินใจไปหาเขาอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่พบคือ ชายที่เธอคิดว่าเป็นเทพบุตรมาฉุดเธอจากชีวิตเส็งเคร็ง กลับเป็นแค่คนโสโครกที่รับจ้างมาล่อลวงเธอ โดยมีเป้าหมายให้เธอกับสามีหย่าขาดจากกันเท่านั้น

คนว่าจ้างไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือผู้หญิงอีกคนของสามีเธอ พวกเขาคบกันตั้งแต่มหาวิทยาลัย ฝ่ายหญิงส่งเสียให้ผู้ชายเรียนจนจบหมอ อยู่กินกันมานานถึงสิบปี และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน พอลูกชายอายุย่างเจ็ดขวบ และกำลังจะเข้าโรงเรียน ฝ่ายหญิงจึงไม่อาจทนรอให้ชีวิตครอบครัวเธอคาราคาซังแบบนี้ เธออยากให้เขาหย่ากับภรรยา และทำหน้าที่พ่อเต็มเวลาให้กับลูกชายสุดที่รัก

แต่ศัลยแพทย์หนุ่มไม่เคยมีความคิดที่จะหย่าขาดกับภรรยาเศรษฐี เขาเลือกที่จะทิ้งลูกเมียที่อยู่กินกันมานานเพื่อชีวิตที่มั่นคงกว่า รวมถึงมรดกกองโตที่ภรรยาจะได้รับในอนาคตด้วย

แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เมื่อผลตรวจครรภ์มาถึง ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่พ่อของเด็กในท้อง เขาอยากให้ภรรยาเอาเด็กออก แต่ภรรยาไม่ยอม เธอแค่ต้องการผู้ชายที่มีหน้ามีตามาเป็นพ่อในนามของลูก เธอไม่สนว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกเขาหรือลูกชู้ เพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะมีลูกได้

ศัลยแพทย์เหมือนตกอยู่ในวังวน ลูกตัวเองจริงๆ ก็ทิ้งไปแล้ว และต้องเป็นพ่อของเด็กที่อาจจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา จะหย่า ภรรยาก็ไม่ยอม เพราะเธออ้างว่าเขาเลือกที่จะทิ้งฝ่ายนั้นเอง

ตอนท้ายของละคร จะมีจิตแพทย์กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญปัญหาครอบครัวมาถกกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมให้คำแนะนำและวิธีไขปัญหา รวมถึงการจัดการด้านกฎหมายด้วย เผื่อคนดูประสบปัญหาแบบเดียวกับในละครจะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้กับชีวิต เรียกว่าเป็นละครที่มีสาระนะ :)

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทบทวน

ในระหว่างเดินเล่น ผมเห็นคนกำลังตัดต้นไม้ เขาออกแรงเลื่อยอย่างมุ่งมั่น เหงื่อท่วมชะโลมกาย ต้นไม้ไม่ยอมโค่นลงเสียที พอพิจารณาอย่างละเอียดถึงรู้ว่า ใบเลื่อยนั้นทื่อเกินไป ไม่ว่าจะพยายามเลื่อยอย่างไร ลำต้นย่อมไม่มีวันขาดจากกัน ผมจึงตะโกนบอกไปว่า

"คุณลุงครับ พักเช็ดเหงื่อหน่อยเถอะ ลับใบมีดให้คมน่าจะตัดง่ายขึ้นนะครับ"

แต่คุณลุงกลับตะโกนโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเลยว่า "ไม่อยากเสียเวลา รีบไปเถอะ วันนี้ผมต้องตัดต้นไม้ให้เสร็จ ไม่เวลาหยุดพักหรอก ผมยุ่งอยู่นะ อย่าเพิ่งกวนได้มั้ย ออกไปก่อนเถอะ"

คุณลุงคนนั้นยังคงตั้งหน้าตั้งตาเลื่อยต้นไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ

ลองสังเกตดูสิ มีคนรอบข้างเรามากมายที่ดำเนินชีวิตแบบนี้ ไม่เคยสังเกตว่าเลื่อยของตัวเองทื่อแล้ว และมักตำหนิตัวเองว่าไม่พยายาม หรือไม่ตั้งใจมากพอ

บางครั้ง จงหยุดเดินแล้วย้อนมองตัวเองด้วยแววตาที่สัตย์จริง การเผชิญหน้ากับความคิดของตัวเอง อาจค้นพบสาเหตุที่ทำให้ชีวิตเราล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นไปได้ว่า สาเหตุนั้นอาจมาจากชีวิตเราที่เหมือนใบเลื่อยที่ทื่อเกินไป

จาก "เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด" - คิมรินโด

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความสุขสร้างได้

เราคงเคยเห็นหนังสือวางขายมากมาย ว่าด้วยการควบคุมอารมณ์โกรธ การคลายความทุกข์ แต่จริงๆ แล้ว ยังมีศาสตร์แห่งการสร้างสุขด้วย มันเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มมีนักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาหลายคนหันมาศึกษาศาสตร์แห่งความสุขมากขึ้น ที่เขาเรียกกันว่า The Science of Happiness หรือ Positive Psychology น่าสนใจทีเดียว เพราะโลกคงน่ารื่นรมย์ขึ้นเยอะ ถ้ามีคนสุขใจมากกว่าคนระทมทุกข์

ดร. สเตฟาน ไคลน์ (Stefan Klein) ผู้เขียนหนังสือ The Science of Happiness ได้ทำการศึกษาวิจัยจนพบว่า อารมณ์เชิงบวกกับเชิงลบถูกสร้างขึ้นด้วยระบบสมองที่ต่างกัน คนที่ใช้สมองส่วนหน้าซีกขวาเป็นหลัก มีแนวโน้มจะมองโลกในแง่ร้ายกว่าคนที่ใช้สมองส่วนหน้าซีกซ้าย ที่มักจะมองโลกในแง่ดีและมั่นใจในตัวเองมากกว่า

และเขายังกล่าวไว้ว่า The brain is "malleable," and anyone with a desire for happiness is able to perceive and experience more pleasurable emotions. สมองสามารถปรับเปลี่ยนได้ และใครก็ตามที่ปรารถนาจะมีความสุข สามารถรับรู้และสัมผัสกับอารมณ์ที่พึงปรารถนาได้มากขึ้น

ดร. ริชาร์ด เดวิดสัน นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ที่ใช้เวลาเกือบชั่วชีวิตศึกษาเรื่อง "happy brain" ค้นพบว่า การนั่งสมาธิมีส่วนช่วยในการปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง เขาพบว่า คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองจะเปลี่ยนจากความคิดที่ว่าจะสู้หรือหนีดี มาเป็นยอมรับสถานการณ์ที่เป็นมากขึ้น เริ่มผ่อนคลายขึ้น และมีความสุขมากขึ้น

ในการวิจัยสมองของหลายสำนักพบว่า สมาธิมีผลโดยตรงกับคลื่นสมอง ในเวลาปกติ สมองชองคนเรามักส่งคลื่นเบต้าออกมา ซึ่งความถี่คลื่นจะอยู่ประมาณ 21 รอบต่อวินาที แต่หากเกิดมีเหตุการณ์ใดมากระทบ และส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก เช่น โกรธ กลัว เกลียด อิจฉา ตื่นเต้น ฯลฯ คลื่นสมองจะมีความถี่สูงขึ้นทันที ส่งผลให้เกิดความเครียดสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายยังถดถอยด้วย

ในทางตรงข้าม ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะสูงขึ้น อารมณ์จะเย็นขึ้น ความคิดจะเฉียบคมและมีจินตนาการสร้างสรรค์สูงขึ้นเมื่อคลื่นสมองมีความถี่ต่ำกว่า 19 รอบต่อวินาที และการจะควบคุมความถี่ให้ต่ำนั้น เราสามารถทำได้ด้วยการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ

ฉะนั้นเราอาจสรุปได้ข้อหนึ่งว่า หากเราทำจิตให้เป็นสมาธิอยู่สม่ำเสมอ คลื่นสมองจะคงความถี่ต่ำ ความเครียดจะลดลง ความสุขจะเพิ่มขึ้น

น่าสนใจทีเดียวที่ ศาสตร์แห่งตะวันออก แนวทางแห่งพุทธศาสนาที่สืบทอดกันมากว่าสองพันปี ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการวิจัยและทดลองโดยการใช้เทคโนโลยีที่เจริญล้ำหน้าในโลกตะวันตกให้เห็นแล้วว่า หนทางแห่งพุทธ คือหนทางสู่แสงสว่าง วิถีพุทธสามารถแก้ทุกข์ สร้างสุขได้จริง ความสุขสร้างได้ :-)

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Book That Can’t Wait

Eterna Cadencia สนพ เล็ก ๆ ในอาเจนติน่า คิดค้นการพิมพ์รูปแบบใหม่ภายใต้โปรเจค "The Book That Can’t Wait." เพื่อดึงดูดให้คนกลับมาเห็นคุณค่าของหนังสืออีกครั้ง

สนพ นี้จะใช้หมึกชนิดพิเศษ ที่จะทำให้ตัวหนังสือที่ถูกพิมพ์ค่อยๆ จางหายไปเมื่อสัมผัสอากาศ หรือแสงจากภายนอก พูดง่ายๆ ว่า พอแกะถุงพลาสติกที่ปิดผนึกหุ้มไว้ออก หนังสือเล่มนั้นจะมีอายุแค่ 2 เดือน ก่อนที่ตัวหนังสือจะค่อยๆ จางหายไป

เอ่อ...แบบนี้จะดีเหรอ????

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิถีแห่งตนบนหนทางสันโดษ - มูซาชิ

คำสอน 21 ข้อ วิถีแห่งตนบนหนทางสันโดษของมูซาชิ

1. ยอมรับสิ่งต่างๆ ตามที่เป็น
2. อย่าไขว่คว้าหาความสุข เพียงเพื่อความสุข
3. อย่าตกอยู่ใต้อำนาจของความรู้สึกชั่วขณะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
4. คิดถึงตัวเองให้น้อย คิดถึงโลกและส่วนรวมให้มาก
5. ละความทะยานอยากชั่วชีวิต
6. อย่าเสียใจกับสิ่งที่ทำไปแล้ว
7. อย่าอิจฉาริษยา
8. อย่าเศร้าโศกเมื่อต้องพลัดพราก หรือสูญเสีย
9. ความขุ่นเคืองใจและการพร่ำบ่น ไม่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
10. อย่าปล่อยให้อารมณ์ของตัณหาราคะหรือความรักชักนำ
11. อย่ามีใจลำเอียง
12. อย่าให้ความสนใจกับสถานที่อยู่ (อยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน)
13. อย่ามัวแต่เฝ้าแสวงหาอาหารรสเลิศ
14. อย่ายึดครองสิ่งที่คุณไม่ต้องการแล้ว
15. อย่าเพียงแต่ทำตามความเชื่อตามจารีตประเพณี
16. อย่าสะสมหรือฝึกฝนอาวุธที่ไม่เป็นประโยชน์
17. อย่ากลัวความตาย
18. อย่าแสวงหาสมบัติหรือยศศักดิ์ไว้ยามแก่เฒ่า
19. เคารพนับถือพระพุทธเจ้าและเหล่าทวยเทพ โดยไม่หวังจะได้รับความช่วยเหลือ
20. คุณอาจละทิ้งร่างกายได้ แต่ต้องรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเอง
21. อย่าหลงออกนอกลู่นอกทาง

ไข่เยี่ยวเด็ก

ทุกคนคงจะรู้จัก "ไข่เยี่ยวม้า" กันดี มันเป็นไข่ที่มาจากการแช่หมักกับส่วนผสมต่างๆ ได้แก่ ปูนขาว, เกลือ, โซเดียมคาร์บอเนต, ใบชาดำ, สังกะสีออกไซด์ และน้ำ ทิ้งไว้ 10-15 วันจะได้ไข่เยี่ยวม้าที่สามารถเก็บทานได้เกือบครึ่งปีทีเดียว

แต่วันนี้ เมืองจีนมีไข่เยี่ยวคนด้วย ที่ติดอันดับสินค้าขายดีในหน้าร้อน กรรมวิธีก็คือ นำไข่ไปแช่ในถังที่บรรจุปัสสาวะของเด็กผู้ชาย ที่เขาเก็บรวบรวมมาจากห้องน้ำในโรงเรียน (ก็เหมือนที่เขาเก็บฉี่มารดผักนั่นแหละ) แต่ว่าเขาจะใช้ฉี่จากโรงเรียนประถมชายเท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่า มันจะเป็นยาได้ต้องเป็นฉี่ของเด็กหนุ่มวัยใสที่อายุต่ำกว่าสิบขวบเท่านั้น

ชาวจีนเชื่อกันว่า กินไข่เยี่ยวเด็กนี้แล้วจะไม่เกิดอาการ heat stroke (ถึงเป็นสินค้าขายดีในหน้าร้อน) กินแล้วไม่ปวดข้อ/ปวดขา ขายใบละ 1.5 หยวน (ประมาณ 8 บาท) ที่แพงกว่าไข่ต้มปกติถึงสองเท่าตัว แถมตั้งชื่อกิ๊บเก๋ว่า Virgin Boy Eggs 童子尿煮鸡蛋 (tongzi sui zhu ji dan) นิยมไม่นิยมคิดดู ทางการยังออกมาประกาศว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศกันเลยทีเดียวเชียว

อืม...ลองสักใบมั้ย?

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เรื่องลิ้นๆ

ห่างหายมานาน วันนี้ขอเสนอสารพัดคำหรือสำนวนที่เกี่ยวกับ "tongue" หรือลิ้น แต่ด้วยความที่บ้านเราใช้คำว่า "ปาก" มากกว่า "ลิ้น" ฉะนั้น จึงขอใช้คำว่า "ปาก" แทนเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นนะคะ

ทุกคนคงคุ้นเคยกับคำว่า sweet tongue ปากหวาน (ใครจะพูดว่าลิ้นหวานละคะ มันชวนให้นึกถึงเรื่องอื่นมากกว่านะ อุอุ) หรือคำว่า sharp tongue ปากจัดกันอยู่แล้ว รู้มั้ยคะว่า ในภาษาอังกฤษยังมีคำศัพท์เกี่ยวกับ "tongue" อีกมากมายที่น่าสนใจ

อย่างเวลาใครที่พูดจาดีมีคารม หรือมีวาทศิลป์ (อย่างพี่มาร์กเป็นต้น) เราจะเรียกคนๆ นั้นว่า silver-tongued แต่ถ้าเป็นคู่ปรับวัยละอ่อนที่ชอบพูดพล่อย พูดมากเนี่ย เราเรียกว่าพวก loosed-tongued และคำนี้ยังใช้เรียกพวกปากโป้ง ปากสว่างด้วยนะคะ

แถมคนประเภทนี้มักมีนิสัยพูดจาหาเรื่องระรานคนอื่นไปทั่ว เขาเรียกว่าพวก tongue-lashing สมควรจะโดนพวก razor tongue พูดจาเชือดเฉือนให้หายเซ่อไปเลย

แต่พูดจาเชือดเฉือนนี่ไม่เหมือนพวก acid tongue ปากร้าย ปากจัด หรือ  rough tongue ที่ชอบใช้วาจาผรุสวาทหยาบคายนะคะ ส่วนพวกผีเจาะปากนี่ คำว่า evil tongue ดูจะเหมาะที่สุด พวกปากชั่วร้าย ปากปีศาจ

ส่วนคนอีกประเภทที่ช่างจ้อ เขาเรียกว่า long-tongued สงสัยลิ้นยาวเลยพูดเยอะมั้ง ฮ่าๆ ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เป็นสำนวนของฝรั่งใช้กันน่ะ แต่ถ้าไม่อยากให้ตัวเองหลุดปากพูดเรื่องอะไรออกมา ก็ต้องรู้จัก bite your tongue นะคะ

เวลาคนที่เขินอาย พูดจาผิดๆ ถูกๆ ตะกุกตะกัก อันนี้เขาเรียกว่า tongue-tied หรือลิ้นพันกันค่ะ แต่ถ้าเกิดไปเจอเรื่องอึ้งตะลึงงั้นจนะพูดไม่ออก เรียกว่า lose your tongue ไปเลย แต่พอตั้งสติและเริ่มพูดจาได้อีกครั้ง แสดงว่า find your togue แล้ว

แต่กรณีที่ปิดปากเงียบ ไม่อยากพูดให้เรื่องแดงออกไป เขามีคำว่า guard your tongue หรือ hold your tongue แต่ถ้าเราจะบอกให้เขาระวังปาก ก็จะใช้คำว่า watch your tongue คล้ายๆ กับ watch your mouth นั่นแหละค่ะ เพราะคุณเผลอหลุดปาก หรือ slip of the tongue ล่ะก็ อาจจะซวยได้

ภาษาอังกฤษถึงมีคำเตือนว่า คนฉลาดเขาถึงเก็บคำพูดไว้กับตัวเอง หรือ A still tongue keeps a wise head. เพราะ Your tongue will get you into trouble. พูดมาก ปากจะมีสีไงล่ะคะ

ยังมีคนประเภท ready tongue หมายถึงคนที่ตอบคำถามได้ฉะฉานคล่องแคล่ว รู้รอบ แต่ถ้าเกิดรู้แต่ติดอยู่ที่ปาก นึกคำไม่ออก ติดอยู่ที่ปากนี่ เขาใช้คำว่า on the tip of the tongue และคนที่สามารถหาคำมาอธิบายคำยากๆ ที่เป็น tongue-twister ได้เนี่ย เรียกว่าเป็นคนที่ get his tongue round something เลยล่ะ

เวลาที่เราจะอธิบายให้อีกคนเข้าใจ เราใช้สำนวนว่า give tongue to someone ก้ได้นะคะ เช่น If you don't understand,I 'll give tongue to you. ถ้าเธอไม่เข้าใจ ฉันจะพูดให้ฟังชัดๆ อีกที

ยังมีสำนวนว่า tongue in cheek หมายถึงพูดจาล้อเล่น แต่ถ้าชักจะหยาบคาย เราเตือนเขาได้เลยค่ะว่า Please keep a civil tongue in your head. อันนี้แบบสุภาพนะ ไม่งั้นก็ shut-up ไปเลย

คนบางคนพูดเร็วมากจนฟังไม่ทัน ฝรั่งเขาเปรียบเหมือนมีสามลิ้นในตัว เขาถึงใช้คำว่า triple tongue อันนี้ยังดีนะคะ ไม่ถือว่าเป็นคำด่า แต่ถ้า double tongue เมื่อไหร่ล่ะก็ เจ้านี่เป็นพวกลิ้นสองแฉก เชื่อไม่ได้! บางคนก็ใช้คำที่บรรยายให้เห็นภาพชัดๆ ว่า forked tongue แบบลิ้นงูที่มีสองแฉก

ประโยคอย่าง His strange behaviours set the tongues wagging. หมายถึง พฤติกรรมเพี้ยนๆ ของเขาทำให้เป็นที่โจษจัน สำนวนว่า set the tongues wagging หรือเริ่มทำให้ลิ้นตวัดเนี่ย ก็หมายถึงเริ่มทำให้คนพูดถึงกันเยอะ หรือจะใช้ว่า on everyone's tongue ก็ได้เหมือนกัน

แล้วเคยเป็นมั้ยคะที่เวลานั่งเฮฮากันอยู่ในวงสนทนา แล้วมีคนหนึ่งเงียบกริบไม่พูดไม่จา เพื่อนๆ กันมักแซวว่า Cat got your tongue? แมวไม่ได้มาคาบลิ้นเพื่อนคนนั้นไปไหนหรอกค่ะ แต่มันเป็นสำนวนภาษาพูดแซวกันเล่น

อีกสำนวนที่อยากฝากไว้คือ leave a taste on the tongue เอาไว้ใช้เวลาชมตอนที่ได้กินของอร่อยจนยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นเลย ว่าแล้วไปหาของอร่อยๆ กินดีกว่า :)

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Passion can't be taught

เมื่อคืนดูรายการทีวีต่างประเทศ ที่เน้นความสามารถของเยาวชนหรือคนทั่วไป ที่ฝึกฝนตัวเองจนสามารถพัฒนาตัวเองและไปยืนบนเวทีโลกได้ ดูแล้วก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ทำไมไม่มีเด็กไทยไปอยู่จุดนั้นบ้าง

แล้วจู่ๆ วันนี้ระหว่างเดินเล่นในสวนก็นึกถึงคำว่า "passion" ขึ้นมา พลางนึกถึงคำพูดของน้องคนหนึ่งที่เคยพูดเมื่อหลายปีก่อนว่า "ผมอยากเป็นนักเปียโนระดับโลก" ช่วงนั้นเขาฝึกเปียโนอย่างหนัก มุ่งมั่นตั้งใจมาก พ่อแม่ก็สนับสนุนให้เรียนทางด้านนี้โดยเฉพาะ ฉันยังนึกอิจฉาอยู่ในใจเลยว่า เจ้าหนูนี่โชคดีจริงที่ค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการตั้งแต่เด็ก แถมมีแรงสนับสนุนมากมาย ฐานะทางบ้านก็ดีพอที่จะสานฝันของเขาให้เป็นจริงได้

หลายปีต่อมา ฉันเจอพ่อของน้องคนนี้ อดถามไถ่ไม่ได้ว่าหนุ่มน้อยนักดนตรีคนนี้ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง พ่อเขาก็คุยให้ฟังว่าลูกเขาฝีมือก้าวหน้าไปมาก แถมยังอวดคลิปที่ลูกชายเล่นเปียโนให้ดู แต่ปิดท้ายด้วยว่า ตอนนี้พ่อหนุ่มน้อยกำลังจะเบนเข็มมาเรียนสายธุรกิจแทน

"อ้าว ทำไมล่ะคะ" ฉันถาม คำตอบที่ได้คือ น้องเขาพิจารณาแล้วว่า ถ้าขืนทำอาชีพนี้คงได้เป็นศิลปินไส้แห้งแน่ ขอเล่นเป็นงานอดิเรกก็พอ

อืม...หลายคนมักดับฝันเพราะเหตุผลหรือข้ออ้างทำนองนี้
ฉันคิดในใจพลางเสียดายอยู่ลึกๆ

ทุกสิ่งจางหายไปตามกาลเวลาได้จริงๆ
ไม่เว้นแม้แต่แรงขับ แรงผลักดัน หรือแรงปรารถนาในชีวิต...

แล้วฉันก็พลางนึกถึงน้องอีกคน ที่ได้ทุนไปศึกษาต่อด้านดนตรีที่สิงคโปร์ เขาบอกว่าตกใจมากกับการซ้อมของนักเรียนทุนจากประเทศอื่น เพราะพวกนั้นซ้อมกันแบบเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่เขาจะซ้อมเวลาที่อยากซ้อม พอเห็นเด็กพวกนั้นซ้อมกันหนักขนาดนั้นแล้ว เขาพาลอยากจะเลิกเรียนและบินกลับเมืองไทยทันที

อืม...โชคดีนะที่เขาไม่ได้บินกลับมาจริงๆ

มันเลยทำให้ฉันคิดว่า อาจเป็นเพราะเราคนไทยมีนิสัยง่ายๆ รักสบาย ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ช่างหรือเปล่า หรืออาจเป็นเพราะเราไม่ได้ถูกปลูกฝังให้มีวินัย ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูอย่างเคร่งครัด ไม่ชอบความกดดัน เวลาลูกทำไม่ได้ เรามักจะได้ยินคำปลอบใจว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก" แล้วเรามักจะไม่ชอบใจเวลาได้ยินพ่อแม่คนอื่นดุลูกว่า "ทำไมแค่นี้ทำไม่ได้ พยายามมากพอรึยัง"

ก็แค่คิดเล่นๆ บวกกับความอยากเห็นคนไทยบนเวทีโลกบ้าง ที่นอกเหนือจากแชมป์โอลิปิควิชาการ หรือมวยบางรุ่นที่รู้สึกจะถูกช่วงชิงตำแหน่งไปเรื่อยๆ แค่อยากรู้จริงๆ ว่า เด็กจีน เด็กญี่ปุ่น เด็กเกาหลี เขาถูกปลูกฝังกันมายังไง ถึงมีความมุมานะ มีความรู้สึกที่อยากจะไปให้สุดฝัน อยากจะอวดให้คนทั้งโลกเห็นว่าเรามีดีอะไร

แต่ Passion can't be taught
เรื่องแบบนี้คงสอนกันไม่ได้จริงๆ