วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

หมู่เกาะเจ้าปัญหา เซนกากุ/เตียวหยู ฮูเป็นเจ้าของกันแน่?

ดูท่าจะไม่จบกันง่ายๆ และดูจะยิ่งลุกลามบานปลายกันไปใหญ่ ก็ข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่นน่ะสิ ต่างคนก็ต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองหมู่เกาะเล็กๆ ที่รกร้างผู้คน แล้วจะเอาอะไรมาตัดสิน ก่อนอื่นเรามารู้จักหมู่เกาะเล็กๆ ที่ว่านี้กันก่อนดีกว่า

จากข้อมูลวิกิพีเดีย หมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออกนี้มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า The Senkaku Isles หรือทางการจีนเรียกว่า Diaoyu Tai หรือถ้าจะใช้ชื่อที่กองทัพอังกฤษเรียกในสมัยสงครามโลกก็คือ The Pinnacle Islands หมู่เกาะนี้ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ กระจิ๊บกระจ้อย ที่กินพื้นที่ทั้งหมดทั้งสิ้นแค่ 7 ตารางกิโลเมตร ดูจากแผนที่ก็จะเห็นเลยว่าอยู่ใกล้กับทั้งจีน ไต้หวัน และหมู่เกาะโอกินาวาของญี่ปุ่น

ทางการจีนก็อ้างว่า มีหลักฐานจากตำรา 顺风相送 (Voyage with a Tail Wind) ที่เอ่ยถึงหมู่เกาะนี้ตั้งแต่ปี 1403 สมัยราชวงศ์หมิง แต่ทางญี่ปุ่นก็อ้างว่าหมู่เกาะนี้เป็นหนึ่งในดินแดนของอาณาจักรริวกิว และมีหลักฐานมายืนยันเหมือนกัน แต่ถ้าย้อนไปถึงยุคนั้น ดูมันจะไกลเกินกว่าจะหาใครมาตัดสินได้ เรามาดูใกล้เข้ามาหน่อยกันดีกว่า

ในปี 1894 ญี่ปุ่นได้ก่อสงครามกับจีน และรัฐบาลราชวงศ์ชิงแพ้ จึงมีการลงนาม "สัญญาหม่ากวน" ในปี 1895 ว่า จีนจะยอมมอบเกาะไต้หวัน เผิงหู และเกาะบริวารในเขตของไต้หวันให้แก่ญี่ปุ่น และในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บริษัทญี่ปุ่นก็เข้าไปตั้งโรงงานแปรรูปปลาที่เกาะเซนกากุ พร้อมคนงานกว่าสองร้อยคน แต่พอปี 1940 ธุรกิจเกิดเจ๊ง เลยต้องปิดกิจการ หมู่เกาะเซนกากุเลยกลายเป็นเกาะร้าง พอปี 1970 ทายาทเจ้าของโรงงานก็ขาย 4 เกาะให้กับครอบครัวคุริฮาระ

พอญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก มีการลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก ปี 1951 ว่า ญี่ปุ่นจะต้องคืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดมาให้กับเจ้าของ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า "เกาะบริวารในเขตของไต้หวัน" ทางจีนถือว่ารวมเกาะเตียวหยูเข้าไปด้วย ฉะนั้น ญี่ปุ่นจึงต้องคืนให้กับจีนถึงจะถูก

แต่ตอนนั้นด้วยความที่ทุกอย่างยังไม่ลงตัว และไหนจะเกิดสงครามเกาหลีอีก สหรัฐฯ ที่ชอบทำตัวเป็นพี่เบิ้มตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงยังยึดหมู่เกาะนี้ไว้สอดส่องดูแลปัญหาในคาบสมุทรนี้อยู่

ล่วงเลยมาจนปี 1971 อเมริกาก็ทำข้อตกลงกับญี่ปุ่นในข้อตกลงแก้ไขโอกินาว่า ว่าด้วยการส่งมอบอำนาจการบริหารทั้งหมดเหนือหมู่เกาะริวกิวและหมู่เกาะเซนกากุคืนให้ญี่ปุ่น ทางการจีนก็ออกมาตีโพยตีพาย หาว่าสองประเทศนี้รู้กัน แต่สหรัฐฯ ไม่สนและถือว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว

ปัญหามันเลยคาราคาซังไม่จบไม่สิ้นมาจนทุกวันนี้ และยิ่งเพิ่มประเด็นความร้อนแรงขึ้นเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศ "ซื้อเกาะ 3 เกาะ" ที่รัฐบาลทำสัญญาเช่าจากตระกูลคุริฮาระ ด้วยวงเงินสองพันกว่าล้านเยน หรือราว 26 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัญฯ ทำเอาพี่จีนเดือดปุดๆ เต้นผางๆ เพราะถือว่า ญี่ปุ่นละเมิดอธิปไตยอย่างร้ายแรง และชักจะบานปลายจนเกิดการประท้วงญี่ปุ่นแทบทุกหัวเมืองใหญ่ของจีน

ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่พื้นที่แค่ 7 ตารางกิโลเมตร แต่หนึ่งคือ "ศักดิ์ศรี" ที่ไม่ว่าชาติไหนก็ไม่อาจให้ใครมาหยามได้ ของของใคร ของใครก็หวง อยู่ดีๆ จะให้ยอมยกกันง่ายๆ หรือนั่งนิ่งเงียบดูเขาเอาไปต่อหน้าต่อตาได้ไง และสองคือ "ทรัพย์ใต้น้ำ" ที่กินอาณาบริเวณมากกว่าแค่ 7 ตารางกิโลเมตรแน่ๆ แหล่งพลังงานที่ในยุคนี้ใครก็ต้องการ

ปัญหายังไม่รู้จะคลี่คลายยังไง แต่เชื่อว่าจะต้องทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แน่ จีนกับญี่ปุ่นก็เหมือนมีแค้นฝังหุ่นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมัยที่ญี่ปุ่นรุกรานจีนก็ทำร้ายและฆ่าแกงประชาชนจีนจำนวนมาก อย่างโหดร้ายทารุณด้วย ความขัดแย้งครั้งนี้ ชาวจีนย่อมตอบโต้อย่างรุนแรงไม่ไว้หน้ากันแน่

ลำพังตอนนี้ก็มีการเผาห้าง ทำลายข้าวของกันแล้ว ไม่อยากนึกว่าจะเตลิดไปได้ถึงไหน...

1 ความคิดเห็น:

Ken takeda กล่าวว่า...

ต้องเป็นของญี่ปุ่นเท่านั้น ขอให้ชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศช่วยกันขับไล่ไอ้เจีกสกปรกออกไปซะ อย่าบังอาจสร้างมลทินให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ญี่ปุ่นจงเจริญ