ความสุขเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ความสุขของคนหนึ่ง อีกคนอาจมองว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าหรือโหดร้ายก็ได้ อย่างเช่นชาวเผ่ามาไซ เผ่านักรบแห่งเคนยา ตามประเพณีของพวกเขาแล้ว เด็กน้อยจะโตเป็นหนุ่มได้จะต้องออกไปล่าสิงโตอย่างน้อย 1 ตัว และผู้ชายเผ่านี้จะเจาะคอวัวเพื่อรองเลือดสดออกมาดื่มเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งในสายตาของเรา มันออกจะโหดร้ายทีเดียว
หรืออย่างในสังคมสาวมุสลิม ที่ต้องแต่งตัวมิดชิด เปิดให้เห็นแค่ใบหน้า แต่ความสุขของพวกเธอคือ การได้สวมเสื้อผ้าสวยๆ ข้างใน ที่ถึงไม่มีใครเห็น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสุขของพวกเธอลดน้อยลงเลย ความสุขของเธอไม่ต้องอวดใครๆ
อีกภาพเป็นภาพนักฟุตบอลบนสนามหญ้าเขียวขจี นักเตะส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์แห่งหมู่บ้านพลัม ในบ้านเรา หากพบพระสงฆ์นุ่งจีวรลงไปเตะบอล คงจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม แต่พระสงฆ์ที่นั่นสามารถเต้นรำ ร้องเพลง เตะฟุตบอลได้ เพราะถือเป็นการออกกำลังกาย
ความสุขของพวกเขา อาจขัดกับความเชื่อของคนบางกลุ่ม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทำผิดอะไร
ในโตเกียว ถนนฮาราจุกุจะเป็นแหล่งรวมผู้คนแต่งตัวตามใจชอบ จะถอดแบบออกมาจากการ์ตูน จะแปลงกลายเป็นเอลวิส หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ใจชอบ เป็นการแสดงออกเพื่ออยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถเป็นได้ในโลกแห่งความจริง แค่นี้พวกเขาก็มีความสุขแล้ว
หรือคนบางกลุ่ม ความสุขได้มาจากความทรมาน การได้ทำสิ่งที่เกินกำลังตน ได้ทดสอบตัวเอง ได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ แม้จะสุ่มเสี่ยง และอาจเสี่ยงภัยอันตรายถึงชีวิต แต่พวกเขาก็มีความสุขที่ได้ทำ และจะยิ่งสุขมากที่ทำสำเร็จ
อย่างกลุ่มนักปีนเขาที่อยากจะพิชิตเอเวอร์เรสต์ ในปีๆ หนึ่งมีคนมากมายต้องตายเพราะตกเขา แต่จำนวนคนที่อยากจะพิชิตเขาสูงตระหง่านลูกนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ความสุขเกิดขึ้นได้ทุกที่ และเพราะความต่างที่ ต่างองศา ต่างวัฒนธรรม ความสุขจึงย่อมแตกต่างกันไป เพียงเราเปิดใจรับ เราก็อาจจะได้รับอานิสงส์จากความสุขนั้นด้วย :)
“ความสุขคือการตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่า...
เราทำอะไร เพื่ออะไร และรู้ว่าเราอยากทำอะไร...”
- วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น